รายย่อยแห่เก็บ STARK ดันหุ้นพุ่ง 8% หลังเพิ่ม Free Float ลุ้นผงาดเข้า SET50

รายย่อยแห่เก็บ STARK ดันหุ้นพุ่ง 8% หลังเพิ่ม Free Float ลุ้นผงาดเข้า SET50


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ 1.67 บาท ปรับตัวขึ้น 0.13 บาท หรือ 8.44% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 893.83 ล้านบาท

โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บริษัทได้มีการเพิ่มสัดส่วนการกระจายหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยตามหลักเกณฑ์การกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ของตลาดหลักทรัพย์  ภายหลังการกระจายหุ้นในครั้งนี้ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 11.40 ของจำนวนหุ้นที่ออกแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ(ข้อมูลตามสารสนเทศของบริษัทฯ ณ วันที่ 28 พ.ค.63) เป็นร้อยละ 20.85 ของจำนวนหุ้นที่ออกแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ซึ่งครบตามหลักเกณฑ์ การกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยของตลาดหลักทรัพย์

ด้านนายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ STARK เปิดเผยว่า ได้ตัดสินใจขายหุ้นบิ๊กล็อตให้กับนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ กองทุน และนักลงทุน VI จำนวนทั้งสิ้น 2,250 ล้านหุ้น ซึ่งทำให้ฟรีโฟรตเพิ่มขึ้นเป็น 20.85% ถือเป็นการปลดล็อกปัญหาได้ในทันที และจะทำให้บริษัทเข้าคำนวณในดัชนี SET50 เนื่องจากมีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์ และในอนาคตมีโอกาสได้เข้าคำนวณในดัชนี MSCI เนื่องจากหุ้นมีสภาพคล่องมากขึ้น

“ก่อนที่เราจะขายหุ้นบิ๊กล็อตในครั้งนี้ ที่ปรึกษาทางการเงินของเราได้มีการสำรวจความต้องการของนักลงทุน ซึ่งปรากฏว่ามีการจองซื้อเข้ามาเกินกว่าจำนวนที่เราต้องการขาย เนื่องจากนักลงทุนมองเห็นโอกาสทางธุรกิจของ STARK ที่แนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด หลังขยายการลงทุนในต่างประเทศ”นายชนินทร์ กล่าว

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าจะโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก โดยบริษัทอยู่ระหว่างการปรับปรุงประสิทธิภาพโลจิสติกส์ และการผลิตสายไฟในเวียดนาม ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 4/63 ก็มีทิศทางที่ดีจากฤดูกาลสั่งซื้อสายไฟจากหน่วยงานการไฟฟ้า ที่จะออกมาค่อนข้างมากในช่วงนี้

ทั้งนี้ ธุรกิจสายไฟของ STARK ในปัจจุบัน ถือว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 1 ของอาเซียน โดยลงทุนผ่าน บริษัท เฟ้ลปส์ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ล่าสุด ในช่วงไตรมาส 2/63 STARK เข้าซื้อกิจการธุรกิจสายไฟขนาดใหญ่ในเวียดนาม บริษัท Thinh Phat Cables JointStock Company (thipha) และ บริษัท Dong Viet Non-Ferrous Metal And Plastic Joint Stock Company (dovina) ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และสร้างโอกาสในการเติบโตได้อีกมาก

อย่างไรก็ดี บล.แลนด์แอนด์เฮาส์ ระบุว่า จากผู้บริหารมีแผนขยายธุรกิจเชิงรุกอีกหลายโครงการ ทั้งจาก Phelps Dodge ที่เข้าไปซื้อกิจการประเภทเดียวกันในเวียดนาม ซึ่งจะเริ่มรับกำไรจากธุรกิจที่เวียดนามตั้งแต่งวดไตรมาส 2/63 รวมถึงที่เวียดนามเริ่มรับรู้การจำหน่ายสายไฟฟ้าประเภท Submarine Cable ขณะที่ยังเพิ่มการส่งออกยังประเทศอื่นด้วย และได้รับอานิสงส์จากโครงการนำสายไฟฟ้าลงดินของกทม. ประมาณ 3 พันล้านบาท และ Synergies จากการควบรวมกิจการ ทำให้สามารถต่อรองซื้อทองแดงในราคาถูกลง รวมทั้งยังมีแผนซื้อกิจการเพิ่มเติม ซึ่งคาดจะช่วยให้เห็นการเติบโตของกำไรก้าวกระโดดในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ ประเมินกำไรปี 63 เบื้องต้นที่ 1,200 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าราว 4 เท่าตัว และจะเพิ่มขึ้นอีก 40% ในปีถัดไป จากแผนขยายธุรกิจเชิงรุก ขณะกำไรต่อหุ้นปีนี้จะอยู่ที่ 0.05 บาท และปีหน้าจะอยู่ที่ 0.08 บาท ดังนั้นมูลค่าพื้นฐานจะอยู่ที่ 2.56 บาท มี upside จากราคาปัจจุบัน 23% อย่างไรก็ตามหากราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นมากในระดับหนึ่ง อาจจะมีแรงขายจำนวนมากออกมาจากผู้ถือหุ้นใหญ่เพื่อเพิ่ม free float จึงแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร”

Back to top button