โค้งสุดท้ายเลือกตั้งสหรัฐ “ไบเดน” คะแนนนิยมนำ “ทรัมป์” ลุ้น 6 รัฐ “สวิง สเตท” ชี้ชะตา!
โค้งสุดท้ายเลือกตั้งสหรัฐ “ไบเดน” คะแนนนิยมนำ “ทรัมป์” ลุ้น 6 รัฐ “สวิง สเตท” ชี้ชะตา!
นายโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนิยมนำหน้า ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ คู่ชิงจากพรรครีพับลิกันเพียงเล็กน้อยใน 6 รัฐ Swing State ซึ่งได้แก่ แอริโซนา ฟลอริดา มิชิแกน นอร์ทแคโรไลนา เพนซิลวาเนีย และวิสคอนซิน ก่อนที่การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันนี้ (3พ.ย.63) ตามเวลาสหรัฐฯ โดยทั้ง 6 รัฐนี้เป็นรัฐที่ ปธน.ทรัมป์ เคยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2559
ทั้งนี้ รัฐ Swing Stage ถือเป็นรัฐชี้ชะตาเนื่องจากเป็นรัฐที่ไม่ได้ชี้ชัดว่าเป็นฐานเสียงของพรรคใดพรรคหนึ่งอย่างชัดเจน โดยรัฐเหล่านี้จะเป็นรัฐที่ประชากรมีความคิดทางการเมืองแตกต่างกันในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน ทำให้ที่ผ่านมาทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันคว้าคะแนนจากรัฐเหล่านี้ได้มากน้อยสลับกันไปมา จึงถูกมองว่า เป็นรัฐที่มีความสำคัญต่อการชี้วัดผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาตลอด
สำหรับคะแนนนิยมของนายไบเดนและปธน.ทรัมป์ ใน 6 รัฐ Swing State เป็นดังนี้
แอริโซนา: ไบเดน 50% vs ทรัมป์ 47%
ฟลอริดา: ไบเดน 51% vs ทรัมป์ 48%
มิชิแกน: ไบเดน 51% vs ทรัมป์ 44%
นอร์ทแคโรไลนา: ไบเดน 49% vs ทรัมป์ 47%
เพนซิลวาเนีย: ไบเดน 50% vs ทรัมป์ 46%
วิสคอนซิน: ไบเดน 53% vs ทรัมป์ 45%
ทั่วโลกจับตาการการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด โดยแม้ผลการสำรวจของทุกสำนักต่างระบุตรงกันว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะพ่ายแพ้ต่อนายโจ ไบเดน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่คะแนนเสียงจากผู้ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ และคะแนนเสียงจากหลายรัฐที่ไม่ใช่ฐานเสียงของทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน อาจเป็นปัจจัยชี้ขาดผลการเลือกตั้งครั้งนี้
ในวันนี้ นอกจากชาวสหรัฐที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปจะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้ว พวกเขายังจะทำการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสภาจำนวน 435 คน และเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 1 ใน 3 ของทั้งหมด หรือจำนวน 33 คน จากทั้งหมด 100 คน โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะมีขึ้นทุก 4 ปี และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะมีขึ้นทุก 2 ปี
นอกจากนี้ ชาวสหรัฐยังออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนหลายพันคนทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงผู้ว่าการรัฐ และผู้พิพากษา ส่งผลให้การเลือกตั้งในวันนี้ ถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญต่อทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน เนื่องจากมีผลต่อชัยชนะของพรรคในการเข้าครอบครองทำเนียบขาวและสภาคองเกรส