สรุปภาวะตลาดต่างประเทศ ประจำวันที่ 5 พ.ย. 2563

สรุปภาวะตลาดต่างประเทศ ประจำวันที่ 5 พ.ย. 2563


ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 500 จุดเมื่อคืนนี้ (5 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในครั้งนี้จะไม่มีพรรคใดครองอำนาจเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรส โดยพรรครีพับลิกันมีแนวโน้มที่จะยังคงครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ซึ่งจะขัดขวางไม่ให้นโยบายปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลของนายโจ ไบเดน ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 28,390.18 จุด เพิ่มขึ้น 542.52 จุด หรือ +1.95% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,510.45 จุด เพิ่มขึ้น 67.01 จุด หรือ +1.95% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,890.93 จุด เพิ่มขึ้น 300.15 จุด หรือ +2.59%

 

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 พ.ย.) แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนในยุโรป , มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ของอังกฤษ และการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐหลังการเลือกตั้ง

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 1.05% ปิดที่ 367.12 จุด

ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,983.99 จุด เพิ่มขึ้น 61.14 จุด หรือ +1.24%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,568.09 จุด เพิ่มขึ้น 243.87 จุด หรือ +1.98% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,906.18 จุด เพิ่มขึ้น 22.92 จุด หรือ +0.39%

 

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (5 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับรัฐบาลและธนาคารกลางอังกฤษเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ประเทศเข้าสู่การล็อกดาวน์รอบสองเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,906.18 จุด เพิ่มขึ้น 22.92 จุด หรือ +0.39%

 

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (5 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า การแพร่ระบาดทั่วโลกของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งการใช้มาตรการล็อกดาวน์ในยุโรป จะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 36 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 38.79 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 30 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 40.93 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 50 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (5 พ.ย.) ขานรับธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศเพิ่มวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตร โดยมีเป้าหมายที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของมาตรการล็อกดาวน์ นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 50.6 ดอลลาร์ หรือ 2.67% ปิดที่ 1,946.8 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย. 2563

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.298 ดอลลาร์ หรือ 5.43% ปิดที่ 25.191 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 29.8 ดอลลาร์ หรือ 3.42% ปิดที่ 899.9 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 76 ดอลลาร์ หรือ 3.3% ปิดที่ 2,383.60 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (5 พ.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยใกล้ 0% และยังส่งสัญญาณว่าจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้นี้

ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.94% แตะที่ 92.5269

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 103.50 เยน จากระดับ 104.43 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9043 ฟรังก์ จากระดับ 0.9120 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3039 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3120 ดอลลาร์แคนาดา

ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1838 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1723 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3143 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2996 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7284 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ  0.7190 ดอลลาร์สหรัฐ

Back to top button