มาตามนัด! PTT ไตรมาส 3 โกยกำไร 1.4 หมื่นลบ. รับธุรกิจปิโตรฯ-ก๊าซธรรมชาติขยายตัว
มาตามนัด! PTT ไตรมาส 3 โกยกำไร 1.4 หมื่นลบ. รับธุรกิจปิโตรฯ-ก๊าซธรรมชาติขยายตัว
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/63 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.63 ดังนี้
ทั้งนี้ในไตรมาส 3/63 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 14,120 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,067 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.1 จากไตรมาส 2/63 หลังบริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จํานวน 67,465 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,257 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.5 จากไตรมาส 2/63 สาเหตุหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันในไตรมาส 3/63 เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในไตรมาสนี้ที่ปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกและพันธมิตร (OPEC+) ในไตรมาสนี้
ตลอดจนการบรรลุข้อตกลงที่จะรักษาระดับการลดกำลังการผลิตที่ 7.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่สิงหาคม 2563 ไปจนถึงสิ้นปี 2563 รวมทั้งการปิดแท่นขุดเจาะน้ํามันที่อ่าวเม็กซิโกของผู้ผลิตน้ำมันดิบเพื่อหลีกเลี่ยงภัยจากพายุเฮอริเคน ประกอบกับอุปสงค์น้ำมันดิบที่เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปที่ฟื้นตัว ภายหลังจากหลายประเทศผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง (Lockdown) และการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น และการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น
สำหรับธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มีผลการดำเนินงานดีขึ้นตามราคาขายและปริมาณขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยหลักจากโครงการบงกช และโครงการคอนแทร็ค 4 นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจน้ำมันมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นเช่นกัน โดยหลักจากกำไรขั้นต้นตามราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown แม้ว่ากำไรจากสต๊อกน้ำมันจะลดลงเล็กน้อย
ส่วนของผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติปรับเพิ่มขึ้นจากธุรกิจโรงแยกก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก ตามปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ดีขึ้นตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 อีกทั้งราคาขายผลิตภัณฑ์ของโรงแยกก๊าซฯ ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาปิโตรเคมีอ้างอิงในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซฯ มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นโดยหลักจากกำไรขั้นต้นที่ขายให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมดีขึ้น ตามต้นทุนก๊าซฯที่ลดลง
ขณะที่ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดว่ากำไรสุทธิของ PTT ในไตรมาส 3/2563 จะอยู่ที่ 1.46 หมื่นล้านบาท ลดลง 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 21% จากไตรมาสก่อน โดยกำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะกำไรลดลงจากทั้งในส่วนธุรกิจก๊าซของ PTT เอง, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบร่วงแรงถึง 30% จากปีก่อน เหลือแค่ 43 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากโควิด-19 ระบาดในปี 2563
ขณะเดียวกันกำไรที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2563 มาจากธุรกิจก๊าซและธุรกิจน้ำมันของ PTT ที่กำไรเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าปริมาณยอดขายก๊าซธรรมชาติจะเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน เป็น 4,426 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ระบาดในประเทศผ่อนคลายลงไป คาดว่าปริมาณยอดขายก๊าซของโรงแยกก๊าซจะเพิ่มขึ้นถึง 12% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 5 เหมือนกับในไตรมาส 2/2563
ส่วนธุรกิจน้ำมันคาดว่าปริมาณยอดขายน้ำมันจะโตถึง 14% จากไตรมาสก่อนเป็น 6,194 ล้านลิตร และยังคาดว่าค่าการตลาดน้ำมันจะฟื้นตัวถึง 43% จากไตรมาสก่อน กลับมาอยู่ระดับปกติที่ 1.10 บาทต่อลิตร นอกจากนี้ยังคาดว่าส่วนแบ่งกำไรรวมจากบริษัทลูกในตลาดทั้ง 5 แห่งในไตรมาส 3/2563 จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเช่นกัน โดยคาดว่ากำไรจาก PTTEP, IRPC และ GPSC จะเพิ่มขึ้น แต่กำไรจาก PTTGC และ TOP จะลดลง
ดังนั้นยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” PTT ให้ราคาเป้าหมายปี 2564 ไว้ที่ 42.00 บาท เชื่อว่าราคาหุ้นจะได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีขึ้นในไตรมาส 3/2563 และการนำบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เข้าจดทะเบียนใน SET ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 1/2564 ดังนั้น จึงยังคงเลือก PTT เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงาน