T เตรียมลุยกิจการโรงแรมในประเทศอังกฤษ
T เตรียมเข้าลงทุนกิจการโรงแรมในอังกฤษ จำนวน 26 แห่ง ภายใต้แบรนด์ เมอร์เคียว โดยเป็นการร่วมลงทุนกับ “ฟิ โก้ โฮลดิ้ง (ยูเค)” เพื่อเข้าซื้อหุ้นใน “จูปิ เตอร์ โฮลเต็ลส์โฮลดิ้งส์” คิดเป็นมูลค่าราว 4,314 ลบ.
บริษัท ไทยบริการอุตสาหกรรมและวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ T ระบุว่า บริษัทมีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือครั้งที่ 4/2558 เพื่อพิจารณาอนุมัติให้บริษัทและ/หรือบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นในจำนวนร้อยละ 99.99 ของทุนจดทะเบียนของบริษัทย่อยดังกล่าวเข้าลงทุนในกิจการโรงแรมในประเทศอังกฤษจำนวน 26 แห่ง ภายใต้แบรนด์ เมอร์เคียว (Mercure) โดยการร่วมลงทุนกับบริษัท ฟิ โก้ โฮลดิ้ง (ยูเค) จำกัด และ/หรือบริษัทในเครือบริษัท ฟิ โก้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (FICO) โดยร่วมกันจัดตั้งบริษัทใหม่ (Newco) ในประเทศอังกฤษ
ทั้งนี้บริษัทและ FICOจะถือหุ้นในบริษัทที่จัดตั้งใหม่ดังกล่าวในสัดส่วนเท่ากัน คือฝ่ายละร้อยละ 50 เพื่อลงทุนผ่านบริษัทที่จัดตั้งใหม่ในการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท จูปิ เตอร์ โฮเต็ลส์โฮลดิ้งส์จำกัด (JHH) ในจำนวน 27,100,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 ปอนด์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 100 ของทุนที่ชำระแล้ว ที่มูลค่ารวมประมาณ 77.5 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 4,314.43 ล้านบาท (อ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2558ซึ่งเท่ากับ 55.67 บาทต่อปอนด์) จาก 1) Patron Jupiter Holding S.a.r.l ซึ่งถือหุ้นทางอ้อมโดย Patron Capital L.P. III และ 2) West Register Hotels (Holdings) Limited ซึ่งถือหุ้นโดย Royal Bank of Scotland (รวมเรียกว่าผู้ขาย) ซึ่งถือเป็นรายการได้มาซึ่งทรัพย์สินของบริษัท (การเข้าลงทุนในกิจการโรงแรมในประเทศอังกฤษ)
สำหรับการเข้าลงทุนในกิจการโรงแรมในประเทศอังกฤษนั้น เพื่อให้ JHH ปราศจากหนี้กู้ยืมเงินจากบุคคลภายนอกบริษัทและ FICO มีแผนที่จะดำเนินการให้บริษัทที่จัดตั้งใหม่กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน จำนวนรวมประมาณ 82.5 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 4,592.78 ล้านบาท (อ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2558 ซึ่งเท่ากับ 55.67 บาทต่อปอนด์) และให้บริษัทจัดตั้งใหม่นำเงินดังกล่าวไปให้ JHH กู้ยืมเพื่อให้ JHH นำเงินจำนวนดังกล่าวไปจ่ายคืนหนี้เงินกู้ยืมที่ JHH มีกับสถาบันการเงินและผู้ถือหุ้นเดิม
โดยบริษัทคาดว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับนั้นจะทำให้บริษัทมีรายได้จากธุรกิจโรงแรม ซึ่งจัดเป็นธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทสามารถใช้ความรู้ความสามารถจากการบริหารงานธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในการพัฒนาการจัดระบบโครงสร้างและดูแลธุรกิจโรงแรมได้ไม่ยาก เป็นการกระจายความเสี่ยงไปสู่การลงทุนในธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ จากเดิมที่มีเพียงการดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในประเทศไทยเท่านั้น โดยบริษัทฯจะรับรู้ผลการดำเนินงานที่ดีจากการลงทุนใน JHH ตามสัดส่วนการถือหุ้น 50% เนื่องจาก JHH มีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้จากการที่กลุ่มธุรกิจโรงแรมที่บริษัทจะลงทุนมีจำนวน 26 โรงแรม ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพของบริษัทในการนำพาธุรกิจโรงแรมเข้ามาจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(REIT)ในอนาคต โดยสามารถขายหรือโอนกรรมสิทธิ์โรงแรมของ JHH ที่ถือยู่เข้า REIT เป็นการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่บริษัท และผู้ถือหุ้น ซึ่งอาจจะถือได้ว่าบริษัทเป็นผู้พัฒนาความคิดแรกที่จะนำพาธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศเข้ามาทำกองทรัสต์ในประเทศไทย
สำหรับแหล่งเงินที่ใช้นั้นบริษัทจะชำระเป็นเงินสดจำนวนไม่เกิน 20 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1,113.40 ล้านบาท โดยบริษัทจะใช้เงินลงทุนจำนวนดังกล่าวจากการเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) จำนวน 30 ล้านหุ้น ในราคา 0.10 บาท ต่อหุ้น โดยได้เสนอขาย เมื่อวันที่ 10 ส.ค.-7 ต.ค. 58 ซึ่งคาดว่าจะได้รับเงินจากการเพิ่มทุนทั้งสิ้นประมาณ 3,000 ล้านบาท ส่วนอีก 120 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 6,680.4 ล้านบาท จะมาจากเงินกู้ธนาคาร โดยผู้กู้คือ บริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ร่วมกันระหว่างบริษัท และ FICO โดยใช้หุ้น และทรัพย์สินของ JHH เป็นหลักประกัน