LPN มั่นใจกำไรปีนี้ดีกว่าปีก่อนที่ 2.02 พันล้านบาท

LPN มั่นใจกำไรปีนี้ดีกว่าปีก่อนที่ 2.02 พันล้านบาท หลังจะรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ 15% และรักษาระอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 30% เดินหน้างานตามแผน-ยันตลาดอสังหาริมทรัพย์ใกล้รถไฟฟ้ายังไปได้


นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า บริษัทมีความมั่นใจว่ากำไรสุทธิปีนี้จะดีกว่า 2.02 พันล้านบาทในปีก่อน หลังจะรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ 15% และรักษาระอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 30%

ขณะที่คาดว่ารายได้จะเติบโต 30-40% มาอยู่ที่ 1.55-1.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่มองการแข่งขันทางด้านการตลาดจะสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และยังเชื่อว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ใกล้แนวรถไฟฟ้ายังไม่อิ่มตัวในระยะยาว

สำหรับในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้แล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการรับรู้รายได้จาก 4 โครงการคือ ลุมพินี เพลส สุขสวัสดิ์-พระราม 2 ลุมพินี เพลส ศรีนครินทร์ หัวหมาก-สเตชั่น ลุมพินี พาร์ค รัตนาธิเบศร์-งามวงศ์วาน และลุมพินี พาร์ค พระราม 9-รัชดา ขณะที่มียอดขายรอโอน (Backlog) 1.87 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ 8.7 พันล้านบาท และในส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 59

พร้อมทั้งยังคงเป้าหมายยอดขายปีนี้ที่ 2 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันทำยอดขายแล้วได้แล้วราว 1.1 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 5 โครงการ มูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งทั้งหมดจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมบนทำเลที่มีศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล

ส่วนงบซื้อที่ดินในปีนี้อยู่ที่ราว 2.5-3.0 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกใช้เงินไปแล้วประมาณ 300 ล้านบาท และยังอยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินอีก 6-7 แปลง ทำเลอยู่บริเวณใกล้แนวรถไฟฟ้าเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุป 2-3 แปลงในเร็วๆนี้ โดยมีมูลค่าราว 500-600 ล้านบาท

นายโอภาส เห็นว่าผู้บริโภคในกลุ่มคนทำงานที่เริ่มทำงานใหม่ยังมีกำลังซื้อ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ระดับราคา 1 ล้านบาทต่อยูนิต ผ่อนชำระต่อเดือน 3-4 พันบาท ซึ่งการซื้อคอนโดมิเนียมระดับราคานี้นับว่าดีกว่าการเช่า และประหยัดเวลาการเดินทางมาทำงาน ทำให้บริษัทเชื่อว่าจะรักษาระดับการเติบโตของรายได้โต 15% ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า

ส่วนภาพรวมครึ่งปีหลัง มองว่าการแข่งขันทางด้านการตลาดจะสูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อได้ทันที หากโครงการที่เลือกไว้แล้วมีกิจกรรมส่งเสริมการขายที่น่าพึงพอใจ ดังนั้น การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในแต่ละโครงการจึงถือเป็นปัจจัยสำคัญหลักแก่กลุ่มลูกค้าที่มีความพร้อมทางด้านการเงิน เพื่อนำมาพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อที่พักอาศัยของตนเองในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ 

สำหรับอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทอยู่ที่ระดับ 5% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสิ้นปีก่อน แต่ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม ขณะที่บริษัทยังไม่มีแผนซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินเนื่องจากราคาหุ้น LPN ปัจจุบันอยู่ที่ 15 บาท สูงกว่ามูลค่าตามบัญชี (Book Value ) ที่อยู่ที่ระดับ 7 บาท

Back to top button