จับตาหุ้นเดินเรือ-โลจิสติกส์ก้าวสู่ปีทอง! รับนำเข้า-ส่งออกฟื้น

จับตาหุ้นเดินเรือ-โลจิสติกส์ก้าวสู่ปีทอง! รับนำเข้า-ส่งออกฟื้น


จากข้อมูลสรุปภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทย พบว่า ส่งออกไทยในเดือนก.ย. 2563 อยู่ที่ 19,621.3 ล้านเหรียญฯ หดตัว 3.9% ส่งผลให้ 9 เดือนแรกการส่งออกไทยมีมูลค่า 172,996.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัว 7.3%

ส่วนการนำเข้าไทยในเดือนก.ย. 2563 อยู่ที่ 17,391.20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากเดือนก.ย.2562 ร้อยละ 9.08 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนส.ค.2563 ร้อยละ 9.63 ส่งผลให้ 9 เดือนแรกการนำเข้าไทยมีมูลค่า 152,372.41 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 14.64

ทั้งนี้ Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB คาดแนวโน้มการส่งออกไทยปี 2564 จะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยจะกลับมาขยายตัวได้ที่ประมาณ 4-5% จากคาดการณ์เศรษฐกิจโลกของ IMF  พบว่าประเทศสำคัญส่วนใหญ่จะมีการขยายตัวในปี 2564 ที่น้อยกว่าการหดตัวในปี 2563 มีเพียงแค่จีนและประเทศกลุ่มอาเซียนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้เร็วกว่า สะท้อนว่าเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าไทยส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้าๆ และหากพิจารณาด้านปริมาณการค้าโลก WTO ที่คาดว่าปริมาณการค้าโลกในปี 2564 จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป สะท้อนจากอัตราเติบโตปี 2564 ที่ต่ำกว่าอัตราหดตัวของปีนี้ ด้วยเหตุนี้ EIC จึงคาดว่ามูลค่าการส่งออกของไทยในปี 2564 จะกลับมาขยายตัวได้แต่จะเป็นการขยายตัวในระดับไม่สูงนักที่ประมาณ 4-5%

ส่วนการส่งออกรายตลาด พบว่าการส่งออกไปสหรัฐฯ จีน และออสเตรเลียขยายตัว ขณะที่การส่งออกไปตลาดสำคัญอื่นมีการหดตัวในอัตราที่น้อยลง

ดังนั้นเพื่อให้นักลงทุนได้มีข้อมูลประกอบการลงทุน ทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมข้อมูลบทวิเคราะห์กลุ่มหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์  เนื่องจากเป็น 1 ในกลุ่มหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ มูลค่าการส่งออกและนำเข้า และการขยายตัวของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สนับสนุนการเติบโต

ขณะที่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) ทยอยรายงานผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2563 พบว่า ผลการดำเนินงานของธุรกิจในกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ ส่วนใหญ่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการส่งสัญญาณของการเริ่มฟื้นตัวทางธุรกิจ นอกจากนี้นักวิเคราะห์ ยังประเมินแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/63 ต่อเนื่องถึงปี 2564-65 ของหุ้นกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ มีโอกาสเติบโตขึ้นโดดเด่น  สอดคล้องกับตัวเลขนำเข้าส่งออกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดย บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO ประเมินราคาเป้าหมาย 4.45 บาท/หุ้น โดย LEO เป็นผู้นำธุรกิจการให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร (End-to-End Global Logistics Services) ที่มีเครือข่ายและพันธมิตรที่เป็นตัวแทนของบริษัทฯ (Overseas network) กว่า 1,000 แห่ง ใน 846 เมือง 190 ประเทศ อัตราการทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอที่ระดับ 25%-30% ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน  และมี Operating leverage ที่สูงทำให้การเติบโตของกำไรสูงกว่าการเติบโตของรายได้ 2 เท่า

ทั้งนี้ประเมินกำไร LEO ปี 2563 อยู่ที่ 60 ล้านบาท เติบโต 27% และปี 2564 มีกำไร 71 ล้านบาท เติบโต 19% จากการรักษาระดับของ Margin ในระดับ 30% ถึงแม้ช่วงต้นปี 2563 จะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ก็ตาม แต่พอหลังจากสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศจีนเริ่มผ่อนคลาย ปริมาณการขนส่งทางเรือก็กลับมาได้ในระดับที่ปกติ และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ประเมินรายได้ในปี 2563 จะเติบโตที่ 3% และ ปี 2564 จะเติบโตที่ระดับ 10%

โดยสามารถแบ่งลักษณะการประกอบธุรกิจของ LEO แบ่งได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ดังนี้ 1) บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเล (Sea Freight) 2) บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางอากาศ (Air Freight) 3) บริการสนับสนุนการให้บริการโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าแบบครบวงจร (Integrated Logistics Services หรือ ILS) และ4) บริการพื้นที่สำหรับเก็บของ (Leo Self Stroage หรือ LSS)

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น LEO ราคาเป้าหมาย 4.44 บาท/หุ้น โดยกำไรปกติงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 เท่ากับ 45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.4% เมื่อเทียบจากปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 76% ของประมาณการทั้งปี แนวโน้มกำไรไตรมาส 4/63 น่าจะทรงตัวถึงปรับขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และเติบโตสูงเมื่อเทียบจากปีก่อน เพราะปกติเป็นช่วง High Season ของธุรกิจ ประกอบกับด้วยสถานการณ์ COVID-19 ที่เริ่มทยอยฟื้นตัวเป็นลำดับ ทำให้ความต้องการใช้บริการขนส่งปรับตัวสูงขึ้นในทุกช่องทาง

ทั้งนี้คาดจะฟื้นตัวต่อเนื่องไปในปี 2564 เมื่อการค้าและปริมาณเที่ยวบินเริ่มดีขึ้นอีกครั้ง อีกทั้งบริษัทยังอยู่ระหว่างขยายพื้นที่สำหรับเก็บของ (Self-storage) แห่งที่ 2 หลังจากแห่งแรกถูกใช้เกือบเต็มกำลังการผลิตแล้ว คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ได้ในปีหน้า ดังนั้นยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2563 เติบโต 29.2% เมื่อเทียบจากปีก่อน และปี 2564 เติบโต 27.2% เมื่อเทียบจากปีก่อน

อีกทั้งยังแนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน)  หรือ JWD ประเมินราคาเป้าหมาย 10 บาท/หุ้น โดยกำไรสุทธิ 9 เดือนแรงของปี 2563 คิดเป็น 72% ของประมาณการทั้งปี แนวโน้มทุกธุรกิจจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4/63 จึงคงประมาณการกำไรปี 2563 ที่ 296.3 ล้านบาท ลดลง 18.3% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากกำไรที่ทรุดลงในไตรมาส 2/63 และคาดปี 2564 เพิ่มขึ้น 20.5% เมื่อเทียบจากปีก่อน เป็น 357.0 ล้านบาท จากการขยายตัวของธุรกิจเดิม และรับรู้รายได้เต็มปีจากคลังสินค้า 3 หลัง (คลัง Built to suit ที่นิคมฯ นวนคร, คลังเก็บเอกสารแบบ Automatic ที่สุวินทวงศ์ และคลังห้องเย็นระบบ Robotic) ที่จะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/64 รวมถึงธุรกิจ Barge Terminal ที่คาดว่าจำนวนตู้ที่ให้บริการจะเพิ่มเป็นกว่า 20,000 ตู้ต่อเดือน และธุรกิจ Self-storage ที่ปัจจุบันมี 5 สาขา คิดเป็นพื้นที่ 1 หมื่นตรม.

นอกจากนี้ ยังแนะนำ “ซื้อ” บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ราคาเป้าหมาย 13 บาท/หุ้น โดยกำไรสุทธิงวด 9 เดือนปี 2563 คิดเป็น 75% ของประมาณการทั้งปีที่คาด 1,494.1 ล้านบาท แม้ว่าในไตรมาส 4/63 จะไม่มีค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง แต่การมีวันหยุดหลายวัน คาดทำให้ผลประกอบการชะลอเล็กน้อย จึงคงประมาณการกำไรปี 2563-2565 เติบโต 46%, 16.1% และ 10.6% ตามลำดับ

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ราคาเป้าหมาย 12 บาท/หุ้น จากแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/63 ที่จะยังคงเติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบจากปีก่อน รวมถึงกำไรปี 2564 ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามมีการปรับกำไรสุทธิปี 2563-2564 ลงจากเดิมปีละ 5% เป็น 1.5 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 48% เมื่อเทียบจากปีก่อน) และ 1.7 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบจากปีก่อน) จากเรือ domestic trading ที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด แต่จะกลับมาเติบโตในปี 2564 จากการเดินทางการขนส่งที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะสายการบินที่คาดว่าจะกลับมาเปิดเที่ยวบินเพิ่มขึ้น และเราประเมินว่าจะสามารถรับเรือใหม่เพิ่มจากเรือ FSU 1 ลำ และเรือ domestic trading เพิ่มอีก 1 ลำ

นอกจากนี้ ยังแนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) หรือ PORT ราคาเป้าหมาย 2.80 บาท/หุ้น ประเมินกำไรสุทธิปี 2563 ที่ 50 ล้านบาท ลดลง 51% เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยครึ่งปีแรกปี 2563 ทำได้เพียง 14 ล้านบาท ลดลง 75% เมื่อเทียบจากปีก่อน ส่วนครึ่งปีหลังปี 2563 จะกลับมาฟื้นตัวเป็น 36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 150% เมื่อเทียบจากครึ่งแรกปี 2563

สำหรับปี 2564-2565 ประเมินกำไรสุทธิจะกลับมาปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็น 78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบจากปีก่อน ตามลำดับ จากปริมาณการส่งออกและนำเข้าที่จะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งยังส่งผลให้รายได้ค่าบริการเฉลี่ยต่อตู้ปรับตัวดีขึ้น และ PORT จะยังคงเพิ่มสัดส่วนรายได้การขนส่งทางบกเพิ่มขึ้น รวมถึงคาดว่ารายได้จากธุรกิจคลังสินค้าจะปรับตัวดีขึ้นจากการหาลูกค้ารายใหม่เพิ่ม

นอกจากนั้น ในช่วงปลายปี 2563 จะมีการเปิดให้บริการท่าเรือใหม่ BRT (Bangkok River Terminal) เป็นท่าเทียบเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (เรือ Feeder) รองรับจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ได้ 2 แสนตู้/ปี ซึ่งเราประเมินว่า PORT จะรับรู้เป็นส่วนแบ่งกำไรในปี 2565 ราว 10 ล้านบาท

บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ III ราคาเป้าหมาย 5.80 บาท/หุ้น โดยกำไรปกติในไตรมาส 3/63 ลดลงอย่างมากถึง 46.1% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน แต่คาดว่าในไตรมาส 4/63 กำไรจะเพิ่มขึ้น 17.1% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากการนำเข้า-ส่งออกที่สูงขึ้นในช่วงไฮซีซั่น ซึ่งปริมาณการนำเข้าและส่งออกที่สูงขึ้น และรายได้จากเที่ยวบินขนส่งสินค้า คาดหนุนกำไรปกติในปี 2564 โตขึ้น 17.4%

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ AMA ราคาเป้าหมาย 6.20 บาท/หุ้น โดยแจ้งกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ดีเกินคาดที่ 71 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบจากไตรมาส และ 54% เมื่อเทียบจากปีก่อน ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/63 ยังโตต่อเนื่องจาก ปริมาณการขนส่งน้ำมันปาล์มที่สูงขึ้นหลังจีนและอินเดียเร่งนำเข้า

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ประเมินราคาเป้าหมายที่ 5.90 บาท/หุ้น โดยมองแนวโน้มไตรมาส 4/63 ปริมาณการขนส่งน่าจะยังดีทั้งขนส่งทางอากาศและขนส่งข้ามพรมแดน และเสริมด้วยการฟื้นตัวขนส่งทางเรือตามอุตสาหกรรมยานยนต์ อีกทั้ง IMF ปรับคาดการณ์จีดีพีปีนี้จาก -4.9% เหลือ -4.4% โดยเฉพาะการฟื้นตัวของจีน สหรัฐฯ และยุโรปที่เป็นเส้นทางสำคัญของ WICE ยังคงคาดการณ์ปี 2563 ทีกำไร 156 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151.8% เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยมีแผนจะปรับขึ้นหลังประกาศงบเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน และปี 2564 คาดกำไรที่ 192 ล้านบาท

Back to top button