JMART วิ่งฉิว 5% นิวไฮรอบเกือบ 3 ปี รับกำไร Q3 สดใส-มั่นใจไตรมาส 4 โตต่อเนื่องรับไฮซีซั่น
JMART วิ่งฉิว 5% นิวไฮรอบเกือบ 3 ปี รับกำไร Q3 สดใส-มั่นใจไตรมาส 4 โตต่อเนื่องรับไฮซีซั่น โดย ณ เวลา 15.51 น. ราคาอยู่ที่ 17.20 บาท บวก 0.80 บาท หรือ 4.88% สูงสุดที่ 17.40 บาท ต่ำสุดที่ 16.20 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 557.44 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ล่าสุด ณ เวลา 15.51 น. อยู่ที่ 17.20 บาท บวก 0.80 บาท หรือ 4.88% สูงสุดที่ 17.40 บาท ต่ำสุดที่ 16.20 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 557.44 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 2 ปี 9 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 18.06 บาท เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2561
โดย นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART ในฐานะบริษัทโฮลดิ้งที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Investment Holding Company เปิดเผยว่า ภาพรวมเจมาร์ทมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยผลประกอบการงวดไตรมาส 3/63 กำไรสุทธิอยู่ที่ 261 ล้านบาท เติบโต 110% และกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกปี 2563 อยู่ที่ 527 ล้านบาท เติบโต 39% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และใกล้เคียงกับกำไรทั้งปีของปี 2562 ที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทย่อย และบริษัทร่วมที่ลงทุน มีผลประกอบการที่ดี มีความสามารถในการทำกำไรในทุกบริษัท โดยเฉพาะธุรกิจบริหารหนี้ของ JMT ที่โดดเด่นทำนิวไฮใหม่ได้ต่อเนื่องในทุกไตรมาส ผนวกกับ ผลประกอบการบริษัทย่อย ในธุรกิจค้าปลีก และบริษัทร่วม ซิงเกอร์ มีผลประกอบการที่ดี โดยเชื่อมั่นว่า กลุ่มเจมาร์ทจะสามารถสร้างพลัง Synergy ต่อไป ด้วยเป้าหมายสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ด้านรายได้รวมในไตรมาส 3/63 บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,889.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปีที่ผ่านมา 8.1% และสำหรับ 9 เดือนแรก บริษัทฯ มีรายได้รวม 7,880 ล้านบาท ลดลง 2.4% เนื่องจาก ยอดขายที่ลดลงในช่วงที่มีมาตรการล็อคดาวน์ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 3/63 กลับมาฟื้นตัวได้อย่างชัดเจน ภายหลังจากที่รัฐบาลค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทยังมีอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้นในทุกๆ ธุรกิจ
อย่างไรก็ดี กำไรในระดับ 261 ล้านบาท ถือเป็นฐานกำไรใหม่ของบริษัท เนื่องจาก ธุรกิจทั้งสายการเงิน และค้าปลีกเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีสถานการณ์โควิด-19 จากความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยง และบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดี
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/63 ยังเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัทในกลุ่ม เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจค้าปลีก ทั้งโทรศัพท์มือถือ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ รวมทั้งสินค้าเทคโนโลยีที่เปิดตัวออกมาในช่วงปลายปี ซึ่งมีแรงบวกเพิ่มอีกจาก นโยบายช้อปดีมีคืน ของรัฐบาล อีกทั้ง ธุรกิจบริหารพื้นที่เช่า มีการบริหารโครงการที่เพิ่มขึ้น และธุรกิจการเงิน ด้านสินเชื่อยังโตตามแผน ส่วนธุรกิจบริหารหนี้มีแนวโน้มซื้อหนี้เข้ามาบริหารสูงสุดในช่วงปลายปี และการจัดเก็บที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างมองหาโอกาสในการขยายการลงทุน ตามแผนการขอกรอบ General Mandate ต่อผู้ถือหุ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเพียงแค่กรอบในการระดมทุนที่เตรียมพร้อมไว้เท่านั้น ด้วยเป้าหมายการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้ JMART เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และปัจจุบัน กลุ่มเจมาร์ทมีมาร์เก็ตแคปรวมทั้งเครือโตแตะ 5 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะของ JMART มีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ราว 14,800 ล้านบาท (ราคา ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2563)