SFLEX บวกต่อเกือบ 5% ลุ้นไตรมาส 4 กำไรนิวไฮต่อ รับไฮซีซั่น-ออเดอร์ลูกค้าใหม่หนุน

SFLEX บวกต่อเกือบ 5% ลุ้นไตรมาส 4 กำไรนิวไฮต่อ รับไฮซีซั่น-ออเดอร์ลูกค้าใหม่หนุน ล่าสุอยู่ที่ 5.55 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 4.72% มูลค่าซื้อขาย 46.96 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SFLEX ล่าสุด ณ เวลา 10.07 น. อยู่ที่ 5.55 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 4.72% สูงสุดที่ 5.60 บาท ต่ำสุดที่ 5.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 46.96 ล้านบาท

โดยบล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” SFLEX ราคาเป้าหมาย 7.50-7.75 บาท/หุ้น โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2563 เติบโตอย่างมีนัยฯ ทำจุดสูงสุดใหม่ อยู่ที่ 38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.8% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และ130.1% เมื่อเทียบจากปีก่อน เป็นไปตามที่คาด (คาดไว้ที่ 37 ล้านบาท)

ทั้งนี้ยังคงประมาณการรายได้และกำไรสุทธิปี 2563 ที่ 1,432 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบจากปีก่อน) และ 147 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 87.3% เมื่อเทียบจากปีก่อน) ตามลำดับ โดยคาดว่ากำไรไตรมาส 4/2563 จะอยู่ที่ 45 ล้านบาท ทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง จากช่วง High Season ของความต้องการการใช้งานบรรจุภัณฑ์ในช่วงปลายปี โดยยังเน้นการเติบโตจากลูกค้ารายใหม่

โดยปัจจุบันมีลูกค้า 55 ราย เพิ่มขึ้นจาก 37 รายในปี 2562 ซึ่งเป็นลูกค้าที่อยู่ในกลุ่ม Top Brand เช่น กลุ่ม CP กูลิโกะ มิตรผล Thai Union และ NIPRO เป็นต้น ประกอบกับกลยุทธ์การเลือกผลิตสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงเป็นหลัก โดยล่าสุดได้ขยายไปยังกลุ่ม Medical (NIPRO) คือ บรรจุภัณฑ์สำหรับเครื่องมือแพทย์ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีการใช้สูง (ใช้จำนวนมากและใช้แล้วทิ้ง) โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 และคาดว่าเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตสูง โดยกลุ่ม Medical เป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง ซึ่งจะรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/2563 เต็มไตรมาส

ขณะที่เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2563 ราคาปรับตัวลงมากกว่า 10% โดยพบว่าทางบริษัทมีรายการ Big Lot จำนวน 78 ล้านหุ้น มูลค่าซื้อขาย 374.40 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 4.80 บาท/หุ้น (ราคาปิด วันที่ 16 พ.ย. 2563 ที่ 5.10 บาท/หุ้น) โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 9.5% ของทุนชำระแล้ว

ดังนั้น ทางฝ่ายวิเคราะห์ฯได้สอบถามผู้บริหารของ SFLEX จึงทราบถึงวัตถุประสงค์การทำ Big Lot ครั้งนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขายและเพื่อให้เกิดการกระจายให้ไปยังนักลงทุนหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นกองทุนและนักลงทุนรายใหญ่

โดยเรามองว่ากรณีดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นเชิงจิตวิทยาในระยะสั้นเท่านั้น โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัท

 

Back to top button