“ประพันธ์ เจริญประวัติ” เปิดผลงาน บจ. mai ไตรมาส 3 โกยกำไร 1.6 พันลบ. โตกระฉูด 4 เท่าตัว
“ประพันธ์ เจริญประวัติ” เปิดผลงาน บจ. mai ไตรมาส 3 โกยกำไร 1.6 พันลบ. โตกระฉูด 4 เท่าตัว
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 167 บริษัท คิดเป็น 95% จากทั้งหมด 176 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC บริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด บริษัทที่ส่งงบไม่ทันตามกำหนด) นำส่งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 พบว่า บจ. ที่รายงานผลกำไรสุทธิมีจำนวน 110 บริษัท คิดเป็น 66% ของบริษัทที่นำส่งผลการดำเนินงานทั้งหมด
โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2563 ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดย บจ. มียอดขายรวม 40,889 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% กำไรจากการดำเนินงานหลัก 1,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.4% และมีกำไรสุทธิ 1,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 443.7% ส่วนความสามารถในการทำกำไร อัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin) ลดลงเล็กน้อยจาก 22.3% เป็น 22.0% มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit margin) 4.2% เพิ่มขึ้นจาก 3.4% และมีอัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin) 3.8% เพิ่มขึ้นจาก 0.8%
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 บจ. มียอดขายรวม 121,613 ลบ. ลดลง 8.5% กำไรจากการดำเนินงาน 4,640 ล้านบาท ลดลง 5.6% และมีกำไรสุทธิรวม 2,613 ล้านบาท ลดลง 69.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ในงวด 9 เดือนแรก ปี 2562 มีการบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนของ บจ. แห่งหนึ่งในกลุ่มทรัพยากรมูลค่า 3,376 ลบ. ทำให้กำไรสุทธิรวมของงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
แต่หากไม่รวมผลของ บจ.ดังกล่าว กำไรโดยรวมจะลดลง 32.5% ในส่วนของความสามารถในการทำกำไร มีอัตรากำไรขั้นต้น 22.1% เพิ่มขึ้นจาก 21.8% มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานหลัก 3.8% เพิ่มขึ้นจาก 3.7% และมีอัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 6.0% เป็น 2.1% ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 279,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% จากสิ้นปี 2562 ขณะที่โครงสร้างเงินทุนรวมยังแข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.09 เท่า ขณะที่สิ้นปี 2562 อยู่ที่ระดับ 1.01 เท่า
“ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก ปี 2563 ของ บจ. mai ปรับตัวลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ยอดขาย และกำไรสุทธิลดลง แต่ยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรจากการดำเนินงานหลักได้ และยังมี 2 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นคือ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม” นายประพันธ์ กล่าว
ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 176 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2563) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 321.84 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 234,927.06 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1,223.68 ล้านบาทต่อวัน