ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ SIRI วงเงินไม่เกิน 1 พันลบ.ที่”BBB/Stable”
ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ SIRI วงเงินไม่เกิน 1 พันลบ.ที่"BBB/Stable"
ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือSIRI ที่ระดับ “BBB” พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “BBB+” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB” ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปจ่ายคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในเดือนตุลาคม 2558
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัท ตลอดจนผลงานที่ได้รับการยอมรับในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แบรนด์ที่มีชื่อเสียงในตลาดคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร รวมถึงความหลากหลายของสินค้า อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนในระดับสูงจากการขยายโครงการทั้งที่เป็นของบริษัทเองและจากโครงการร่วมทุน ทั้งนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง ตลอดจนความกังวลในการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ และระดับหนี้ครัวเรือนที่สูง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ได้ตามแผน อีกทั้งจะรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานเอาไว้ได้ที่ระดับประมาณ 12%-15% ในอีก 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ บริษัทควรรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน (รวมเงินกู้จากกิจการร่วมค้าตามสัดส่วน) ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 65% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนที่น้อยกว่า 2 เท่า
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากสถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมควรอยู่ที่ระดับ 10%-15% และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน (รวมเงินกู้จากกิจการร่วมค้าตามสัดส่วน) อยู่ในระดับต่ำกว่า 60% ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ
บริษัทแสนสิริเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2558 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยจำนวน 104 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 140,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียมในสัดส่วน 52% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด บ้านเดี่ยว 40% และทาวน์เฮ้าส์ 8% ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยของที่อยู่อาศัยโดยรวมอยู่ที่ 3.5 ล้านบาท บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอการรับรู้รายได้ ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2558 เท่ากับ 27,000 ล้านบาท (ไม่รวมยอดขายรอการรับรู้รายได้จากโครงการร่วมทุนมูลค่า 5,727 ล้านบาท) และมีจำนวนหน่วยเหลือขาย (รวมทั้งยูนิตที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) มูลค่าประมาณ 60,000 ล้านบาท
ยอดขายของบริษัทในปี 2555-2556 อยู่ที่ประมาณ 42,000 ล้านบาทต่อปี ยอดขายลดลงเหลือ 8,762 ล้านบาทในปี 2557 เนื่องจากบริษัทมียอดยกเลิกการจองเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการคอนโดมิเนียม “ดี คอนโด” และ “เดอะเบส” ยอดขายในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 เท่ากับ 15,054 ล้านบาท (รวมยอดขายจากโครงการร่วมทุนมูลค่า 5,727 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 4,281 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2557 ยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียมเป็นแรงหนุนทำให้ยอดขายรวมเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการที่เปิดใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 นั้นมีสัดส่วนถึงประมาณ 50% ของยอดขายทั้งหมด
รายได้ของบริษัทในปี 2557 ลดลง 2% จากปีที่แล้วเป็น 28,093 ล้านบาท โดยรายได้จากคอนโดมิเนียมเท่ากับ 14,045 ล้านบาทในปี 2557 ลดลง 7% จากปีที่แล้ว รายได้จากบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้น 13% จากปีที่แล้ว ในขณะที่รายได้จากทาวน์เฮ้าส์ลดลง 30% รายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 เติบโตขึ้นเป็น 16,296 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียม ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทในช่วงที่เหลือของปี 2558 และปี 2559 ได้รับแรงหนุนบางส่วนจากยอดขายที่รอการส่งมอบมูลค่า 12,400 ล้านบาทและ 11,700 ล้านบาทตามลำดับ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า รายได้ของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปีหากบริษัทสามารถส่งมอบยอดขายรอการรับรู้รายได้ได้ตามแผน
อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ที่ 33%-34% ของรายได้รวมในปี 2553-2557 และลดลงเหลือ 28% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 เนื่องจากบริษัทปรับลดราคาขายในโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการเพื่อระบายสินค้าสร้างเสร็จเหลือขาย ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทเท่ากับ 20%-24% ของรายได้รวมในช่วงปี 2554-2557 และปรับดีขึ้นเป็น 18% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 ทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (ซึ่งคำนวณโดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ลดลงเป็น 11% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 จาก 14% ในปี 2557 ในช่วง 3 ปีข้างหน้า อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 12%-15%
อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับค่อนข้างสูง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากทำให้อัตราส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 61%-63% ในช่วงปี 2553-2555 เป็น 67% ณ เดือนธันวาคม 2556 อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถเพิ่มทุนได้จำนวนประมาณ 6,000 ล้านบาทในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 จึงทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงเหลือ 61% ณ สิ้นปี 2557 อัตราส่วนดังกล่าวเท่ากับ 60% ณ เดือนมิถุนายน 2558 ซึ่งยังคงสูงกว่าผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำส่วนใหญ่
เนื่องจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก จึงคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างสูงต่อไป ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้ง อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนในอีก 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการขยายธุรกิจเพื่อการเติบโต อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าว (รวมเงินกู้จากกิจการร่วมค้าตามสัดส่วน) ไม่ควรเกินกว่า 65% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนควรน้อยกว่า 2 เท่า
สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทในช่วงปี 2556-2557 อ่อนแอลงเนื่องจากภาระหนี้ที่สูงขึ้น อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเหลือ 4% ในปี 2556 และ 8% ในปี 2557 จาก 12%-14% ในช่วงปี 2553-2555 อัตราส่วนดังกล่าวปรับดีขึ้นเป็น 11% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายลดลงเหลือ 2-3 เท่าในปี 2556 ถึง 6 เดือนแรกของปี 2558 จาก 4-6 เท่าในช่วงปี 2553-2555 ทั้งนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2558 สภาพคล่องของบริษัทประกอบด้วยเงินสดมูลค่า 2,000 ล้านบาท รวมทั้งวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้มูลค่า 42,000 ล้านบาท และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาทต่อปี