“เครดิตสวิส” ชู 11 หุ้น “ท็อปพิค” รับเป้าดัชนี 1,660 จุด แถมอัพราคาใหม่ 8 หุ้น!
“เครดิตสวิส” ชู 11 หุ้น “ท็อปพิค” รับเป้าดัชนี 1,660 จุด แถมอัพราคาใหม่ 8 หุ้น!
บริษัทหลักทรัพย์ เครดิต สวิส ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2564 เป็น 1,660 จุด โดยแนะนำ Overweight กลุ่ม ธนาคาร, ปิโตรเคมี, โรงพยาบาล, ท่องเที่ยว และ ค้าปลีก ส่วนหุ้น Top picks ได้แก่ AOT, BBL, BDMS, CENTEL, CHG, CPALL, CRC, IVL, KBANK, SAWAD และ SPRC
พร้อมกันนี้ “เครดิส สวิส” ได้ทำการปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของหลักทรัพย์จำนวน 8 หลักทรัพย์ ดังนี้
1.บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS ถูกปรับเพิ่มราคาเป้าหมายมาที่ 154 บาทต่อหุ้น จากเดิม 125 บาท คิดเป็นอัพไซด์ 24% (จากเป้าเดิม) โดยยังคงคำแนะนำ Neutral (คงน้ำหนักการลงทุน)
2.บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ถูกปรับเพิ่มราคาเป้าหมายมาที่ 63 บาทต่อหุ้น จากเดิม 54.50 บาท คิดเป็นอัพไซด์ 16% (จากเป้าเดิม) โดยคงคำแนะนำ Neutral
3.บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ถูกปรับเพิ่มราคาเป้าหมายมาที่ 9 บาทต่อหุ้น จากเดิม 7.90 บาท คิดเป็นอัพไซด์ 14% (จากเป้าเดิม) โดยคงคำแนะนำ Underperform หรือมีความหมายว่า SET Index วิ่งได้ดีกว่าตัวหุ้น
4.บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ถูกปรับเพิ่มราคาเป้าหมายมาที่ 75 บาทต่อหุ้น จากเดิม 66 บาท คิดเป็นอัพไซด์ 14% (จากเป้าเดิม) โดยคงคำแนะนำ Outperform หรือมีความหมายว่า หุ้นวิ่งได้ดีกว่าตลาดโดยใช้ SET Index เป็นตัวเทียบ
5.บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ถูกปรับเพิ่มราคาเป้าหมายมาที่ 9 บาทต่อหุ้น จากเดิม 8.40 บาท คิดเป็นอัพไซด์ 8% (จากเป้าเดิม) โดยคงคำแนะนำ Outperform
6.บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ถูกปรับเพิ่มราคาเป้าหมายมาที่ 32 บาทต่อหุ้น จากเดิม 19 บาท คิดเป็นอัพไซด์ 69% (จากเป้าเดิม)โดยคงคำแนะนำ Underperform
7.บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC ถูกปรับเพิ่มราคาเป้าหมายมาที่ 6.40 บาทต่อหุ้น จากเดิม 5 บาท คิดเป็นอัพไซด์ 28% (จากเป้าเดิม) โดยคงคำแนะนำ Neutral
8.บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ถูกปรับเพิ่มราคาเป้าหมายมาที่ 12 บาทต่อหุ้น จากเดิม 10.40 บาท คิดเป็นอัพไซด์ 16% (จากเป้าเดิม) โดยปรับคำแนะนำขึ้นเป็น Outperform จากเดิม Underperform
ทั้งนี้ เครดิตสวิส ประเมินว่าตลาดหุ้นเอเชียมีแนวโน้มดีกว่าตลาดหุ้นทั่วโลกในปี 2564 เนื่องจากจะเริ่มเข้าสู่วงจร “ซูเปอร์-ไซเคิลของกำไร” พร้อมคาดว่าผลตอบแทนในรูปดอลลาร์สหรัฐของดัชนี MSCI Asia ซึ่งไม่รวมดัชนีหุ้นญี่ปุ่น จะอยู่ที่ 19% ในช่วงนี้จนถึงปลายปีหน้า เทียบกับที่ดัชนีหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทน 15%
ด้าน แดน ไฟน์แมน นักกลยุทธ์หุ้นเอเชียแปซิฟิกของเครดิตสวิส กล่าวว่า ขณะนี้ได้ให้น้ำหนักหุ้นเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) มากสุดในโลก โดยประเมินว่ากำไรต่อหุ้นทั่วภูมิภาคอาจอยู่ในช่วง “วัยรุ่น” หรือช่วงกำลังโต เป็นเวลา 3-5 ปี เป็นอย่างน้อย โดยมีหลายปัจจัยขับเคลื่อน เช่น เศรษฐกิจที่จะเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ และแรงกดดันเรื่องภาษีลดลง
นอกจากนี้ การส่งออกที่ดีขึ้นและการแข็งค่าของสกุลเงินต่างๆ ก็ช่วยหนุนหุ้นเอเชีย เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติยังถือหุ้นเอเชียน้อย และในบรรดาตลาดหุ้นเอเชีย “เครดิตสวิส” ชอบตลาดเกาหลีใต้มากสุด โดยคาดว่าอัตราส่วนราคาต่อหุ้นจะโต 43% ในปีหน้า และตลาดเกาหลีใต้ถูกกว่าตลาดอื่นๆ ในเอเชียเหนือ นอกจากนี้เกาหลีใต้ยังมีผู้ผลิต DRAM ชิพรายใหญ่ ซึ่งเป็นเซกเมนต์หนึ่งของภาคเทคโนโลยีที่เครดิตสวิสชอบ
ส่วนตลาดเอเชียอื่นๆ ที่เครดิตสวิสชอบได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ จีน และไทย โดยฮ่องกงมีแนวโน้มของอสังหาริมทรัพย์ดีสุดในภูมิภาคและมีความเสี่ยงน้อยสุดที่การเคลื่อนไหวทางนโยบายจะกดดันตลาดอสังหาริมทรัพย์ ส่วนตลาดสิงคโปร์เป็นตลาดที่มีหุ้นอสังหาริมทรัพย์และธนาคารมาก ซึ่งเป็นสองภาคที่เครดิตสวิสชอบ
ส่วนตลาดจีน มีปัจจัยที่เอื้อหลายอย่าง เช่น เงินหยวนแข็งแกร่งขึ้น ความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐมีเสถียรภาพภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเด้น และการลงทุนโดยตรงของต่างชาติในจีนฟื้นตัว
สำหรับตลาดไทย เครดิตสวิส ระบุว่า จะมีการฟื้นตัวดีที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2564
อย่างไรก็ตาม เมื่อแบ่งเป็นรายภาค เครดิตสวิส ชอบภาคอสังหาริมทรัพย์เนื่องจากมีสัญญาณการฟื้นตัวในบางตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดฮ่องกง และแรงซื้ออสังหาริมทรัพย์อาจได้แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นต่ำ นอกจากนี้ยังชอบภาคธนาคารเนื่องจากมีราคาถูกมากและจะได้ประโยชน์จากการเติบโตที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจโลก แต่เครดิตสวิสจะหยุดลงทุนหุ้นธนาคารในเอเชียเมื่อการประเมินมูลค่าตามทันตลาดโดยรวม