SUPER ปลื้ม! ทริสฯอัพเครดิตสู่ BBB แนวโน้ม Stable มอง 3 ปี EBITDA แตะหมื่นล.

SUPER ปลื้ม! ทริสฯอัพเครดิตสู่ BBB แนวโน้ม Stable มอง 3 ปี EBITDA แตะหมื่นล.


นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ SUPER เปิดเผยว่า บริษัททริสเรทติ้ง จำกัดได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ SUPER เป็นระดับ “BBB” จากระดับ “BBB-“พร้อมปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Positive” เพื่อสะท้อนถึงการที่บริษัทฯประสบความสำเร็จจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งความสามารถในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่ และจำนวนมากขึ้น

ขณะที่ SUPER มีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอ ต่อการผลักดันการเติบโตให้คงอยู่ในระดับแข็งแกร่งต่อไปได้อีก 3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี(SUPEREIF) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับฐานะการเงินได้เป็นอย่างดี และการที่บริษัทฯมีโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วจำนวนมากในปัจจุบันช่วยให้บริษัทสามารถจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม เพื่อใช้เป็นทางเลือกในการระดมทุนสำหรับการขยายธุรกิจได้

ทั้งนี้คาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานอยู่ในทิศทางที่ดี และเติบโตต่อเนื่อง โดยรายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัท น่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.3 หมื่นล้านบาท และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) น่าจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทในปี 2566 การเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้และกำไรจากความสำเร็จในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยและเวียดนาม

ขณะที่บริษัทฯมีพอร์ตโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ โดยโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วนั้น มีจำนวนมากกว่า 100 แห่ง และมีกำลังการผลิตรวมตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 868 เมกะวัตต์ และทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ากำลังการผลิตรวมตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 เมกะวัตต์ในอีก 3 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า SUPER มีจุดแข็งคือ ผลงานเป็นที่ยอมรับในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวนหลายแห่ง อีกทั้งยังสามารถควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัททรงตัวอยู่ในระดับสูงในช่วง 80%-90% ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ เงินทุนจากการดำเนินงานน่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 8 พันล้านบาทในปี 2566 จาก 4 พันล้านบาทในปี 2563

โดยปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งใหม่ 3 โครงการ คือ Loc Ninh 1-3 มีกำลังกำรผลิตรวมกัน 550 เมกะวัตต์ โดยมีกำหนดจะเปิดดำเนินงานภายในสิ้นปีนี้ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่อยู่ในแผนงาน โดยบริษัทวางแผนจะเพิ่มกำลังการผลิต 421 เมกะวัตต์จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานงานลม 4 แห่ง ซึ่งมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2564  อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังมีเป้าจะขยายพอร์ตโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอย่างน้อย 22 เมกะวัตต์จาก 2 โครงการใหม่

ทั้งนี้ บริษัทฯคาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในปีนี้และปีหน้า เนื่องจากจากการรับรู้รายได้จากการขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ทั้งจากโรงไฟฟ้าเดิม และโรงไฟฟ้าใหม่  รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามอีก 3โครงการ มีขนาดกำลังการผลิตรวม 550 เมกะวัตต์ โดยจะทยอย COD ภายในเดือนธันวาคม 2563 ตามแผนที่วางไว้ และคาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตประมาณ 15 -20 % เนื่องจากมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มถึง 1,200 – 1300 เมกะวัตต์

Back to top button