“อนุทิน” ยันไม่ล็อกดาวน์-หนุนผู้ประกอบการฟ้อง 20 ลบ. คนลอบเข้าเมืองติดโควิด ทำศก.กระทบ
“อนุทิน” ยันไม่ล็อกดาวน์-หนุนผู้ประกอบการฟ้อง 20 ลบ. คนลอบเข้าเมืองติดโควิด ทำศก.กระทบ ชี้จะได้หลาบจำ
นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในขณะนี้ยังไม่มีการแพร่ระบาด เป็นเพียงการพบผู้ติดเชื้อที่นำเชื้อเข้ามาจากต่างประเทศ และพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม ซึ่งมีความใกล้ชิดกับผู้ที่นำเชื้อเข้ามา โดยจุดเริ่มต้นเป็นกลุ่มคนที่เดินทางกลับมาจากจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเพราะไม่ต้องการถูกกักตัว 14 วัน ซึ่งเป็นความเห็นแก่ตัวไร้จิตสำนึกและความรับผิดชอบ ทั้งนี้ รัฐบาลก็จะใช้กระบวนการตามกฎหมายดำเนินการเอาผิดกับคนเหล่านี้
พร้อมกันนี้ นายอนุทิน ยืนยันว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการประกาศล็อกดาวน์จังหวัดใดในประเทศ ส่วนที่มีข้อกังวลว่าจะมีคนไทยเดินทางกลับจากประเทศลาวกว่า 500 คน ซึ่งอาจเกิดเหตุการณ์เดียวกับกรณีของประเทศเมียนมานั้น เชื่อว่าฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะตรึงกำลังและตรวจตราตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวด
“แต่จะหวังพึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายเดียวไม่ได้ ทุกคนจะต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา รวมถึงผู้ที่จะเดินทางกลับมา ควรที่จะแสดงความรับผิดชอบเข้าประเทศมาอย่างถูกต้อง” รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข กล่าว
สำหรับกรณีที่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย เตรียมฟ้องเรียกค่าเสียหาย 20 ล้านบาทจากผู้ติดเชื้อโควิดที่หลบหนีเข้าเมือง และทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้น นายอนุทิน กล่าวสนับสนุนและเห็นควรที่จะต้องฟ้องเอาผิดกับกลุ่มบุคคลเหล่านี้ เพื่อให้หลาบจำและจะไม่ทำผิดอีก เพราะเพียงแค่ความเห็นแก่ตัว แต่สิ่งที่ตามมาทำให้เกิดความเสียหายกับประเทศ ในส่วนของรัฐบาลคงไม่ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน แต่จะดำเนินการตามกฎหมายที่มีอยู่อย่างเด็ดขาด
“อยากขอความร่วมมือผู้ที่จะเดินทางกลับเข้าประเทศ ขอให้ทำตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบปฏิบัติ เมื่อกลับมาถึงจะต้องถูกกักตัว 14 วัน เพื่อเฝ้าระวังโรคตรวจว่าติดโควิด-19 หรือไม่ หากติดเชื้อ ก็จะได้รับการรักษาด้วยการใช้ยาและเวชภัณฑ์อย่างดี” นายอนุทิน กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงข่าวให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนทุกวัน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนของข้อมูล