SAPPE หวังนโยบายกระตุ้นศก.ผลักดันธุรกิจโต เก็งรายได้ปี 60 แตะ 5 พันลบ.
SAPPE คงเป้ารายได้ปีนี้โต 20% ลุ้นรายได้ปี 60 แตะ 5 พันลบ. หลังยอดขายโตต่อเนื่อง เผยอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนใหม่ๆ ทั้งเข้าซื้อกิจการ-ร่วมมือกันทางธุรกิจ
นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าบริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยว่า ในปี 58 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้จะเติบโตได้ในระดับ 20% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 2.85 พันล้านบาท แม้ว่าครึ่งปีแรกจะลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 872.3 ล้านบาท โดยบริษัทคาดหวังการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลังที่น่าจะเติบโตได้ราว 15% ซึ่งยอมรับว่าอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ภาพรวมทั้งปีเติบโตได้ตามเป้าหมายเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว รวมถึงตลาดอินโดนีเซียก็ชะลอตัวเช่นกัน
ประกอบกับการกระจายสินค้าในประเทศจีนและแผนการจัดตั้ง Sappe China ต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ในเบื้องต้น โดยคาดว่าการกระจายสินค้าให้ได้ครอบคลุมในระดับเป้าหมายเดิมน่าจะเสร็จสิ้นได้ภายในสิ้นปีนี้
ขณะที่บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 60 จะเติบโตแตะ 5,000 ล้านบาท จากยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งสินค้าใน 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ เซ็ปเป้ บิวติดริ้งค์, MOGU MOGU, เซ็ปเป้ อโล เวร่า และกาแฟเพรียว รวมทั้งการออกสินค้าใหม่เพิ่มเติม และการออกแคมเปญเพื่อกระตุ้นยอดขาย พร้อมทั้งคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 70% จากเดิมอยู่ที่ 60%
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดหวังนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเข้ามาช่วยผลักดันการใช้จ่ายในระดับผู้มีรายได้น้อย ก็น่าจะทำให้ธุรกิจเติบโตไปได้ ส่วนตลาดส่งออกทุกประเทศนอกเหนือจาก 2 ประเทศดังกล่าว ยังมีการเติบโตในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้ ขณะที่บริษัทฯจะยังรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ให้อยู่ที่ 41%
ทั้งนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม ยังสามารถทำยอดขายเติบโตอย่างโดดเด่น และสามารถทวงตำแหน่งผู้นำในตลาดเครื่องดื่มฟังชั่นนอลดริ้งกลับมาได้ ขณะที่เครื่องดื่มว่านหางจระเข้ สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ โดยยังเห็นโอกาสการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทก็อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนใหม่ๆ เพิ่ม ทั้งในรูปแบบของการเข้าซื้อกิจการและการร่วมมือกันทางธุรกิจ ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งคาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้หลังปี 60 โดยปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินต่อทุน (D/E) เพียง 0.37 เท่า มองว่ายังมีความแข็งแกร่งและพร้อมที่จะลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่มีโอกาสในการเติบโสูง เพื่อผลักดันให้บริษัทมีการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนการขยายงานผลิตใหม่ของโรงงานที่จ.ปทุมธานี ได้เริ่มเปิดดำเนินการในไตรมาส 3/58 เพื่อรองรองรับและสนับสนุนแผนดำเนินงานด้านการตลาดและการขายทั้งในประเทสและต่างประเทศ โดยกำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นถึง 130,000 ตันต่อปี จากเดิมอยู่ที่ 100,000 ตันต่อปี