ผถห. STARK ไฟเขียวรวมพาร์ 1 บ.-แจกวอแรนต์ฟรี รับแผนระดมเงิน 2 หมื่นล.ขยายธุรกิจโต
ผถห. STARK ไฟเขียวรวมพาร์ 1 บ.-แจกวอแรนต์ฟรี รับแผนระดมเงิน 2 หมื่นล.ขยายธุรกิจโต
นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (การรวมพาร์) จากเดิมหุ้นละ 0.50 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท และออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (วอแรนต์) ของบริษัทรุ่นที่ 1 (STARK-W1) ภายหลังการรวมพาร์ ไม่เกิน 3.97 พันล้านหน่วย จัดสรรให้ฟรีกับผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 3 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วย มีอายุ 4 ปี อัตราการใช้สิทธิ 1 หน่วยต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ที่ราคาใช้สิทธิหุ้นละ 5 บาท กำหนดระยะเวลาใช้สิทธิเมื่อครบ 2 ปีนับจากวันที่ออกวอแรนต์
นอกจากนี้ ยังอนุมัติการลดทุนจดทะเบียนโดยตัดหุ้นที่ยังไม่ได้นำออกจำหน่าย หลังจากนั้นให้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1.59 หมื่นล้านบาท จากเดิม 1.19 หมื่นล้านบาท โดยออกหุ้นใหม่ 7.94 พันล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท (ก่อนการเปลี่ยนแปลงพาร์) ซึ่งเทียบเท่ากับการออกหุ้นเพิ่มทุน 3.97 พันล้านหุ้น ที่ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิวอแรนต์ STARK-W1
“เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม และสร้างความยืดหยุ่นทางการเงินในการขยายธุรกิจในอนาคต และสำรองเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการ ซึ่งหากมีการใช้สิทธิทั้งหมดจะทำให้ STARK ได้รับเงินราว 20,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลดีต่อการเติบโตของบริษัทฯ ในระยะยาว” นายชนินทร์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานล่าสุดของ STARK ณ ไตรมาส 3/63 มีกำไรสุทธิ 462.46 ล้านบาท พลิกจากที่เคยขาดทุนสุทธิ 81.08 ล้านบาท และในงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 1,163.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันในปีก่อนที่ทำได้ 51.58 ล้านบาท เนื่องจาก รายได้หลักมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการรับรู้ผลการดำเนินงานของเวียดนาม และโครงการภาครัฐและเอกชนในประเทศไทยและเวียดนามที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
เช่น โครงการนำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน การอัพเกรดขนาดสายไฟเพื่อรองรับการเติบโตของชุมชน และพัฒนาระบบสายส่งไฟฟ้า เป็นต้น นอกจากนี้ Core EBITDA margin ที่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 17.3% ในไตรมาสที่ 3/63 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.6% ในไตรมาสที่ 3/62 เนื่องมาจากการมุ่งเน้นกลุ่มสินค้า High Margin ตลอดจนการมีนโยบายในการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการร่วมกันของกลุ่มบริษัทอย่างมีระบบ (Integrated Supply Chain Management) ที่สำคัญบริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมี Net Debt / Equity (ปรับปรุง) เท่ากับ 0.9 เท่า