ก.ล.ต.ชูจุดเด่น 3 กองทุนสวัสดิการยามเกษียณ เพิ่มทางเลือกมนุษย์เงินเดือน-อาชีพอิสระ

ก.ล.ต.ชูจุดเด่น 3 กองทุนสวัสดิการยามเกษียณ เพิ่มทางเลือกมนุษย์เงินเดือน-อาชีพอิสระ


สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุในบทความ “3 กองทุน “สวัสดิการเพื่อการเกษียณ” หลากทางเลือกของมนุษย์เงินเดือน & อาชีพอิสระ” เพื่อให้เป็นกันชนของชีวิตในช่วงวัยเกษียณ ให้สามารถเดินต่อไปได้โดยไม่กระทบกระเทือน หากมีวิกฤติเกิดขึ้นเหมือนปัจจุบันที่เผชิญกับวิกฤติโควิด-19

สำหรับทั้ง 3 กองทุนมีลักษณะที่แตกต่างกัน  ได้แก่

1. กองทุนประกันสังคม ซึ่งเป็นสวัสดิการของรัฐสำหรับมนุษย์เงินเดือน (เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33) โดยจะจ่ายเงินทดแทนกรณีคลอดบุตร เลี้ยงดูบุตร ค่ารักษาพยาบาล พิการไม่สามารถทำงานได้ หรือเมื่อว่างงาน ไปจนถึงเมื่อเกษียณอายุแล้ว โดยอาจจ่ายเป็นรายเดือนหรือเงินก้อนก็ได้

โดยเงินที่กองทุนนำมาจ่ายก็คือเงินที่ผู้ประกันตนได้สมทบเข้ากองทุน โดยมีนายจ้างและรัฐบาลร่วมสมทบด้วย ซึ่งในปัจจุบันลูกจ้างและนายจ้างจ่ายเท่ากันในอัตราฝั่งละ 5% แต่ไม่เกิน 750 บาท (เป็นอัตราที่กำหนดทั่วไป โดยรัฐบาลอาจปรับลดให้เพื่อช่วยลดผลกระทบให้แก่ลูกจ้างและนายจ้างกรณีมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19)  ส่วนรัฐจ่ายให้ 2.75% แต่เงินทั้งหมดจะถูกแบ่งเป็น 3 กอง ตามวัตถุประสงค์ของสวัสดิการ คือ กรณีว่างงาน ,กรณีเลี้ยงดูบุตรและชราภาพ และกรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต หรือคลอดบุตร

ดังนั้น กองทุนประกันสังคมจึงไม่ได้เป็นการออมเพื่อรองรับการเกษียณเพียงอย่างเดียว และจากการคำนวณเงินที่จะได้จากกองทุนในกรณีชราภาพไม่ว่าจะเป็นเงินบำนาญ หรือ บำเหน็จ อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้หลายคนใช้ชีวิตหลังเกษียณได้เหมือนช่วงก่อนเกษียณ

สำหรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพของประกันสังคมมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข 2 แบบ คือ กรณีบำนาญชราภาพ หากส่งเงินสมทบมาไม่น้อยกว่า 180 เดือน จะได้รับเงินเป็นรายเดือน เดือนละ 20% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่เคยได้รับ สูงสุด 15,000 บาท และหากส่งเงินมาเกิน 180 เดือน อัตราคำนวณจะเพิ่มอีก 1.5% ต่อระยะเวลาการจ่ายทุก 12 เดือนที่เกินมา

เช่น ส่งเงินสมทบมา 192 เดือน เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย อยู่ที่ 30,000 บาท จะได้รับเงินรายเดือนจนตลอดชีวิต

= 180 เดือนแรก อัตราบำนาญ 20% + 12 เดือนหลัง ได้รับอัตราเพิ่ม 1.5%

= อัตราบำนาญ 21.5% ของ 15,000 บาท หรือเดือนละ 3,225 บาทต่อเดือน ตลอดชีวิต

สำหรับกรณีบำเหน็จชราภาพ หากส่งเงินสมทบมาไม่ครบ 180 เดือน จะได้รับเป็นเงินก้อนเท่ากับเงินที่ผู้ประกันตนและนายจ้างได้จ่ายสมทบเข้ากองทุนกรณีชราภาพ (ซึ่งปัจจุบันกำหนดให้นำส่งฝ่ายละ 3% ของค่าจ้าง) พร้อมผลประโยชน์ตามที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด

อย่างไรก็ตาม กองทุนประกันสังคมเป็นระบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข การจ่ายเงินสวัสดิการให้ผู้ประกันตน จะนำเงินจากในกองทุนโดยไม่ได้เจาะจงว่าเงินของใครต้องจ่ายคืนให้คนนั้น ดังนั้น เมื่อประเทศเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ มีคนชราจำนวนมาก การนำเงินออกมาจากกองทุนเพื่อเป็นสวัสดิการก็มากขึ้น ขณะที่วัยหนุ่มสาวซึ่งเป็นผู้เติมเงินลงไปในกองทุนมีจำนวนน้อยลงทุกที ดังนั้น สิ่งเดียวที่ช่วยให้มนุษย์เงินเดือนมั่นใจได้ว่าจะสามารถมี “ไลฟ์สไตล์” หรือ คุณภาพชีวิตที่ไม่ต่างจากเดิมมากนัก คือ “ต้องพึ่งพาตัวเอง” โดยการเก็บออมและบริหารจัดการเงินของตัวเอง

2.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident fund) เป็นการออมแบบสมัครใจ ซึ่งมนุษย์เงินเดือนไม่ควรมองข้าม เพราะเป็นการออมที่เรียกได้ว่า “ออม 1 แต่ได้ถึง 5+” ได้แก่

ได้เงินเพิ่ม : เงินที่นายจ้างช่วยสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพถือเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งสำหรับมนุษย์เงินเดือน เหมือน “ได้เงินเดือนส่วนเพิ่ม” หรือ ยิ่งนายจ้างใจดีสมทบเงินให้มากเท่าไร ยิ่งทำให้มนุษย์เงินเดือนสามารถเพิ่มความมั่งคั่งได้มากขึ้นเท่านั้น

ได้เลือกลงทุนตามต้องการ : สามารถเลือกได้ว่าเงินที่ส่งเข้ากองทุนจะนำไปลงทุนในอะไรบ้างจากทางเลือกที่คณะกรรมการกองทุนคัดสรรให้ เช่น รับความเสี่ยงได้มาก ต้องการให้เงินเติบโตมาก ก็เลือกนโยบายการลงทุนที่มีหุ้นมาก

ได้มืออาชีพมาดูแลเงิน : มีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยดูแลและบริหารเงินให้งอกเงย นอกจากนี้ ค่าธรรมเนียมในการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยเฉลี่ยจะต่ำกว่ากองทุนประเภทอื่น ซึ่งค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่านี้ก็จะช่วยให้เงินงอกเงยได้มากขึ้นในระยะยาว

ได้รับความคุ้มครอง : เงินของเราที่อยู่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเงินที่ “ผูกโบว์” ไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นเงินของเราเท่านั้น และหากมีการเลิกกองทุน “กฎหมายก็ให้การคุ้มครอง” โดยจะชำระบัญชีเงินของเราแยกออกมาจากทรัพย์สินของนายจ้าง อีกทั้งมีระบบการบันทึกบัญชีและกำหนดราคาตามมาตรฐาน จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาหยิบเงินเราไปได้

ได้สิทธิลดหย่อนภาษี : เงินออมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพช่วยประหยัดภาษีในทุกต่อ ตั้งแต่เงินสะสมที่ส่งเข้ากองทุนสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้ ผลประโยชน์จากการลงทุน และเงินที่ได้จากกองทุนเมื่อเกษียณอายุ (ทั้งเงินของเรา เงินส่วนของนายจ้าง และดอกผลจากการลงทุน) จะได้รับยกเว้นภาษี หากอายุเกษียณไม่น้อยกว่า 55 ปี และเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาไม่ต่ำกว่า 5 ปี

นอกจากนี้ ยังมีความยืดหยุ่นที่จะเลือกส่งเงินเข้ากองทุนตามจำนวนที่ต้องการได้ตามความพร้อม ตั้งแต่ 2% ไปจนถึง 15% ของค่าจ้าง ดังนั้น มีน้อยก็ออมน้อย มีมากก็ออมมาก แต่สิ่งที่สำคัญคือยิ่งเราส่งเงินเข้ากองทุนเร็วเท่าไร ยิ่งเพิ่มเวลาให้เงินทำงานสร้างดอกออกผลได้มากขึ้นเท่านั้น

ขณะที่หากเราย้ายไปทำงานที่ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ ลาออกไปทำอาชีพอิสระก่อนอายุ 55 ปี ไปจนถึงกรณีที่นายจ้างเลิกกิจการ เรายังสามารถออมต่อเนื่องและได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยโอนเงินไปยังกองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยเฉพาะ หรือที่เรียกกันว่า RMF for PVD นั่นเอง

สำหรับคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพราะกังวลว่า หากนำเงินออกจากกองทุนก่อนครบเงื่อนไขที่กำหนดจะต้องจ่ายภาษีมากกว่าปกตินั้น อันที่จริงแล้วยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเช่นกัน (แม้จะไม่เท่าสมาชิกที่ออกเมื่ออายุ 55 ปี และเป็นสมาชิกมากว่า 5 ปี) โดยส่วนของเงินสะสมได้รับยกเว้นภาษี จะเสียภาษีเฉพาะส่วนของเงินสมทบของนายจ้างและผลประโยชน์จากการลงทุน และถ้าเป็นสมาชิกมามากกว่า 5 ปี ก็ยังได้สิทธิลดหย่อนอีกมาก

3.กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งเป็นแหล่งเงินออมที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ต้องการออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณอายุ โดยเริ่มออมขั้นต่ำเพียง 50 บาท และสูงสุด 13,200 บาทต่อปี ไม่จำเป็นต้องออมเท่ากันทุกเดือน ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละคน และรัฐบาลจะสมทบเงินให้มากน้อยตามระดับอายุของผู้ออม ยิ่งอายุมากก็ยิ่งจะได้รับเงินจากรัฐบาลในสัดส่วนที่สูงขึ้น คือ อายุตั้งแต่ 15 ปี ถึง 30 ปี รัฐจะสมทบเงินให้ครึ่งหนึ่ง สูงสุด 600 บาทต่อปี , อายุ 30 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 50 ปี รัฐจะสมทบให้ 80% สูงสุด 960 บาทต่อปี และอายุ 50 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 60 ปี รัฐจะจ่ายสมทบเต็ม 100% สูงสุด 1,200 บาทต่อปี

นอกจากนี้ เงินที่นำส่งยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เต็มจำนวน และเมื่ออายุครบ 60 ปี จะได้รับเงินบำนาญรายเดือนในจำนวนเท่ากับที่เรานำส่งกับเงินที่รัฐสมทบให้พร้อมดอกผล (รัฐบาลค้ำประกันผลตอบแทนในอัตราไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน เฉลี่ย 7 ธนาคาร) เริ่มตั้งแต่ 600 บาทต่อเดือน โดยไม่เสียภาษี

 

 

Back to top button