ECF เล็งปิดดีลซื้อ “โซลาร์ฟาร์ม” 65MW ตั้งเป้ารายได้ปี 64 โตแตะ 1.6 พันลบ.

ECF เล็งปิดดีลซื้อ “โซลาร์ฟาร์ม” 65MW ตั้งเป้ารายได้ปี 64 โตแตะ 1.6 พันลบ.


นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 64 ไม่ต่ำกว่า 1,600 ล้านบาท โดยได้รับผลดีจากการที่คู่แข่งในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์รายอื่นๆ ปิดตัวลงหลังจากได้รับผลกระทบสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อไหลจากผู้ผลิตรายอื่นเข้ามาที่บริษัท ทั้งจากในประเทศ และต่างประเทศ อาทิ จีน อินเดีย และสหรัฐ เป็นต้น

ปัจจุบัน บริษัทมีคำสั่งซื้อเต็มกำลังการผลิตในเวลาทำการปกติแล้ว ขณะที่บริษัทได้ลงทุนสายการผลิตใหม่เพิ่มอีก 2 สายการผลิต คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องได้ในช่วงไตรมาส 1/64 เพื่อรองรับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นได้อีก 30-40 ล้านบาท/เดือน ซึ่งจะเข้ามาช่วยหนุนการเติบโตของบริษัทเพิ่มขึ้นเติมด้วย

จากนั้นบริษัทคาดว่าในปี 65 จะเป็นปีที่ผลประกอบการจะเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากบริษัทร่วมลงทุนในนามของบริษัท พลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) จำกัด (GEP) ที่ ECF ถือหุ้น 20% ผู้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิต 220 เมกะวัตต์ ณ เมืองมินบู ประเทศเมียนมา ซึ่งได้ก่อสร้างโครงการเฟสที่ 2 ขนาด 50 เมกะวัตต์ในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา และมีกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในเดือน ส.ค. 64

ส่วนการก่อสร้างโครงการในเฟสที่ 3 ขนาด 50 เมกะวัตต์ และเฟส 4 ขนาด 70 เมกะวัตต์จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะสามารถ COD ได้ภายในเดือน เม.ย.66

นอกจากนั้น ECF ยังอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในต่างประเทศอีก 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิต 65 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 64

สำหรับกรณีการขายหุ้นในบริษัท เซฟ เอนเนอร์จี โฮลดิ้งส์ (SAFE) ที่ ECF ถือหุ้นในสัดส่วน 33% นั้น เนื่องจากบริษัทมองว่าไม่มีความชำนาญในเรื่องของโรงไฟฟ้าชีวมวล และมองว่าอนาคตต้นทุนวัตถุดิบไม้สับที่นำเข้ามาเป็นเชื้อเพลิงจะปรับตัวสูงขึ้นอีก

“หลังจากนี้ผมจะเน้นการลงทุนในธุรกิจหลัก หรือหากเป็นการลงทุนโรงไฟฟ้าผมก็จะไม่ไปลงทุนในโรงไฟฟ้าชีวมวลอีก เพราะผมไม่มีความเชี่ยวชาญ แต่เรามองว่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และอื่นๆ ยังมีโอกาสในการลงทุน ซึ่งผมจะมุ่งไปในพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก เพราะมองว่าให้ผลตอบแทนที่ดี และเรามีความเชี่ยวชาญแล้ว” นายอารักษ์ กล่าว

นายอารักษ์ ยังเปิดเผยอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรผู้จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์จากต่างประเทศเพื่อจะร่วมลงทุนในโครงการโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์แห่งใหม่ เพื่อรองรับการผลิตให้กับพันธมิตรแต่เพียงผู้เดียว โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 64 และคาดว่าจะสามารถก่อสร้างรองงานพร้อมกับเดินเครื่องการผลิตได้ทันทีในปี 65

“ในปี 65 จะเป็นช่วงที่ผลประกอบการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะเรามีการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้ามินบูเข้ามาเต็ม 2 เฟส ขณะเดียวกันเรายังคงมองหาการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งการเพิ่มยอดขายและกำลังการผลิตเฟอร์นิเจอร์ ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าเรายังคงมุ่งเน้นการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์” นายอารักษ์ กล่าว

สำหรับทิศทางผลประกอบการของ ECF ในข่วงที่เหลือของปีนี้ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากคำสั่งซื้อที่เข้ามาทั้งในตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยผลประกอบการรวมทั้งปี 63 มั่นใจว่ารายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 10-12%

“ตอนนี้เครียดมาก ทำออเดอร์ไม่ทัน เพราะลูกค้าหันมาสั่งซื้อสินค้าจากเรา เพราะแม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะมีผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทก็ยังผลิตสินค้าส่งให้กับลูกค้าได้ ทำให้ได้รับความมั่นใจจากผู้ประกอบการมากขึ้น” นายอารักษ์ กล่าว

Back to top button