SA เปิดแผนซื้อ NPA ลดต้นทุน-เปิดตัว 3 โครงการดันผลงานปี 64 โต!
SA เปิดแผนซื้อ NPA ลดต้นทุน-เปิดตัว 3 โครงการดันผลงานปี 64 โต!
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอทเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจผลการดำเนินงานปี 64 เติบโตจากปีนี้ ตามแผนการเข้าซื้อสินทรัพย์ประเภท Non-Performing Asset (NPA) มาปรับปรุงใหม่เพื่อลดต้นทุนในการก่อสร้าง รวมถึงการเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง ซึ่งจะผลักดันการเติบโตในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โดยยังมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตได้เหมือนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งในช่วง 3 ปีย้อนหลัง (ปี 60-62) รายได้รวมมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 46% ต่อปี ขณะเดียวกันบริษัทยังได้ตั้งเป้าหมายรักษาอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ระดับ 20%
ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์ในมือมูลค่ารวมประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท ซึ่งจะรองรับการเติบโตในช่วง 3 ปีข้างหน้าได้ โดยไม่ต้องมีการลงทุนโครงการใหม่เพิ่ม ขณะที่สินทรัพย์ดังกล่าวเป็นยอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ารวม 9,446 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 4/63 และจะทยอยรับรู้ในปี 64 ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
สำหรับในปี 64 บริษัทมีแผนลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ขณะนี้อยู่ระหว่างการซื้อที่ดิน มูลค่าเกือบ 3,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้จ่ายค่ามัดจำที่ดินแล้ว และอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ 2.โครงการแนวราบในทำเลพุทธมณฑล บนที่ดินเกือบ 100 ไร่ มูลค่าที่ดินประมาณ 800 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ และ 3.โครงการคอนโดมิเนียมในรูปแบบ Branded Residence ในทำเลรามอินทรา มูลค่าโครงการประมาณ 4,000 ล้านบาท ในราคาขายที่ 2.5 ล้านบาทต่อยูนิต
อีกทั้งจะเน้นลงทุน NPA ให้มากขึ้น เพื่อนำมาปรับปรุงใหม่ สร้างมูลค่าเพิ่ม โดยจะเน้นในทำเลสุขุมวิท หรือทำเลที่ไม่ด้อยค่า คาดว่าจะเพิ่มจำนวนสินทรัพย์ประเภทดังกล่าวขึ้นอีก 2 เท่าของพอร์ต จากปัจจุบันมีโครงการที่เป็นทรัพย์สิน NPA ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 4 โครงการ คิดเป็น 25% ของพอร์ตรวม
ด้านแหล่งเงินลงทุนในการเข้าซื้อสินทรัพย์ NPA และการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ จะมาจากการระดมทุนเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในครั้งนี้ราว 825 ล้านบาท รวมถึงยังมีแผนออกหุ้นกู้ในปีหน้า มูลค่า 2,000-3,000 ล้านบาท โดยการออกหุ้นกู้จะดำเนินการภายหลังจากปรับเครดิตเรทติ้ง จากปัจจุบันอยู่ที่ BB+ เป็นระดับ Investment Grade หรือ เรทติ้งตั้งแต่ “AAA” จนถึง “BBB-” ภายหลังจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างไรก็ตามบริษัทก็มีเป้าหมายจะรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Interest-Bearing Debt to Equity Ratio : IBD/E) ไว้ไม่เกิน 1.7 เท่า จากสิ้นปีนี้คาดอยู่ที่ 1.3-1.4 เท่า
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาและเจรจากับพันธมิตรในการร่วมมือกันแปลงสินทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ ให้เป็นโทเคน (Tokenization) หรือให้กลายเป็นสัญญาดิจิทัลในรูปของหลักทรัพย์โทเคนที่สามารถแลกเปลี่ยนได้บนบล็อกเชน ซึ่งวิธีการนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วไปสามารถซื้อและขายอสังหาริมทรัพย์ได้ทุกเวลา ที่ต้องการ ซึ่งบริษัทก็มีเป้าหมายที่จะทำการขายอสังหาริมทรัพย์ในลักษณะดังกล่าว เพื่อเอื้อให้กับนักลงทุนต่างชาติได้เข้ามาซื้อ ในภาวะที่ยังไม่สามารถเปิดประเทศได้ หรือหากเกิดวิกฤติโควิด-19 ขึ้นอีกในอนาคต และยังช่วยลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ลง รวมถึงยังให้ผลตอบแทนสูง แต่อย่างไรก็ตามก็ยังต้องรอความชัดเจนในเรื่องของกฎกติกาต่าง ๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อน
พร้อมกันนี้บริษัทมีความตั้งใจที่จะจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ซึ่งถือเป็นการจ่ายปันผลครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดยปัจจุบันบริษัทมีกำไรสะสม ณ ไตรมาส 3/63 อยู่ราว 800 ล้านบาท และคาดสิ้นปี 63 จะเพิ่มขึ้นมาที่ 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามยังต้องรอเข้าที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในช่วงเดือนเม.ย.64 ก่อน
สำหรับราคาหุ้น SA ที่เข้าซื้อขายวันแรกในวันนี้นั้น บริษัทมีความพอใจกับราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ระดับ 5.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งถือเป็นราคาที่สมเหตุ สมผล