MBKET คาดกำไรปีนี้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 1.26 พันลบ.มาร์เก็ตแชร์ 9-10%
MBKET คาดกำไรปีนี้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 1.26 พันลบ.มาร์เก็ตแชร์ 9-10%
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)(MBKET) เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดกำไรสุทธิปีนี้จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่อยู่ระดับ 1.26 พันล้านบาท โดยคาดหวังช่วงที่เหลือของปีนี้ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหลักทรัพย์ฯน่าจะกลับมาดีขึ้น จากครึ่งปีแรกเฉลี่ยอยู่ที่ราว 42,000-45,000 ล้านบาท ขณะที่ประเมินทั้งปีน่าจะมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 45,000 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าจะมีส่วนแบ่งนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์(มาร์เก็ตแชร์)ปีนี้ราว 9-10% จากครึ่งปีแรกอยู่ที่ 9.22%
อีกทั้งบริษัทฯยังมีงานที่ปรึกษาทางการเงินรวม 17-25 ดีล แบ่งเป็น งานเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) จำนวน 1-2 บริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai) และอีก 3-5 บริษัทที่จะเป็นงาน IPO ในปี 59 มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท ,งาน M&A จำนวน 2-3 ดีล ,งานที่ปรึกษาในการจัดตั้งกอง REIT 2-3 ดีล และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน 3-4 ดีล รวมถึงงานที่ปรึกษาในการเสนอขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง (PP) 2-3 ดีล
ทั้งนี้ มองทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีน่าจะมีความหวังจากคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย ด้วยการเข้ามาสนับสนุนนโยบายการปล่อยเงินกู้ผ่านกองทุนหมู่บ้านวงเงินราว 6 หมื่นล้านบาท และมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายสู่ระดับตำบลกว่า 7 พันตำบล คิดเป็นวงเงินราว 3.6 หมื่นล้านบาท โดยมาตรการดังกล่าวน่าจะส่งผลดีต่อเงินที่จะเข้าสู่ระบบมากขึ้น และน่าจะสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ดีมากขึ้น
นายมนตรี คาดว่าดัชนีหุ้นไทยปีนี้น่าจะอยู่ในระดับ 1,450 จุด และปีหน้ามีโอกาสที่จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1,650 จุด แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยของเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นทั่วโลกด้วย อย่างไรก็ตามมองว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ไม่น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากหากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็จะส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้นทั้งสหรัฐฯและยุโรป รวมถึงกดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนที่น่าจะไม่สามารถเติบโตได้มากนัก ประกอบกับเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งธนาคารกลางยุโรป ยังจะคงดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) อย่างต่อเนื่อง และยืนยันที่จะซื้อสินทรัพย์ในตลาดเป็นวงเงิน 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนจนถึงเดือนก.ย.59