“ฟิลลิป” แนะ “ซื้อ” M เป้า 60 บ.มองผลงานสะดุดระยะสั้น แนะลงทุนยาว
“ฟิลลิป” แนะ “ซื้อ” M เป้า 60 บ.มองผลงานสะดุดระยะสั้น แนะลงทุนยาว
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ กำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M โดยคาดแนวโน้มการเติบโตของรายได้ต่อสาขา หรือ SSSG ในช่วงไตรมาส 4/63 ของ MK / Yayoi / แหลมเจริญ จะติดลบมากขึ้นเท่ากับ -21.6% / -22.3% / -40% เทียบกับปีก่อน ตามลำดับ เนื่องจากถูกกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ครั้งใหม่นำไปสู่การ Lockdown ในหลายจังหวัด ปัจจุบัน (5 ม.ค. 2564) มี 7 จังหวัดที่ห้ามร้านอาหารให้บริการทานในร้าน
โดยให้บริการเฉพาะซื้อกลับบ้าน หรือ Delivery เท่านั้น ซึ่งมีสาขาที่ถูกปิดหน้าร้าน 66 สาขา (รวมทุกแบรนด์) คิดเป็น 9% ของสาขาทั้งหมด หากใช้สมมติฐานว่าถูกปิดเป็นเวลา 1 เดือน จะกระทบรายได้ 1% ของรายได้ต่อปี เราคาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/63 จะอ่อนลงมาอยู่ที่ 337 ล้านบาท (-27.5% จากไตรมาสก่อน, -48.6% จากปีก่อน) และคาด SSSG เดือน ม.ค. น่าจะยังติดลบสูงต่อเนื่อง ก่อนที่จะทยอยฟื้นตัวในเดือน ก.พ. – มี.ค.
นอกจากนี้ M ถือเป็นบริษัทที่มีสภาพคล่องและฐานะทางการเงินแข็งแกร่งสุดในกลุ่มอาหาร โดยมีเงินสด (หรือสินทรัพย์ที่ใกล้เคียงเงินสด) ในมืออยู่ที่ระดับ 6.8 พันล้านบาท และไม่มีภาระหนี้เงินกู้ที่ก่อให้เกิดดอกเบี้ยจ่ายเลย ในขณะที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายเงินสดอยู่ที่ราว 400-450 ล้านบาทต่อเดือน (ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายพนักงาน ค่าเช่า และค่าน้าค่าไฟ) นั่นหมายถึง กรณี Worst Case หากบริษัทไม่มีรายได้เลย จะสามารถอยู่ได้อย่างน้อย 15 เดือน (Cash Burn Rate) แต่ในความเป็นจริงบริษัทยังมีรายได้จาก Delivery และยังอยู่ระหว่างเจรจาขอลดค่าเช่ากับห้าง คาดจะช่วยลดภาระค่าเช่าได้ตั้งแต่เดือน ม.ค. จะกว่าจะสถานการณ์โดยรวมจะดีขึ้นอีกครั้ง
พร้อมคาดกำไรของ M จะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วภายหลัง COVID-19 คลี่คลายใน 2564 และยิ่งหากความคืบหน้าของวัคซีนเป็นไปตามที่ทุกฝ่ายวางแผนไว้ น่าจะช่วยให้ผลการดำเนินงานทยอยฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 64 และกลับสู่ระดับใกล้เคียงปกติได้ในปี 2565
ทั้งนี้ด้วยกำไรที่อ่อนตัวลงชั่วคราวในไตรมาส 4/63-ไตรมาส 1/64 จึงปรับลดกำไรสุทธิปี 2563-65 ลง 6% – 16% เป็น 896 ล้านบาท (-65.6% เทียบกับปีก่อน), 2,178 ล้านบาท (+143.2% เทียบกับปีก่อน) และ 2,453 ล้านบาท (+12.6% เทียบกับปีก่อน) ตามลำดับ และปรับลดราคาเป้าหมายปี 2564 เป็น 60 บาท จากเดิม 63 บาท (อิง PE เดิม 25 เท่า) และยังคาดจ่ายปันผลงวดครึ่งหลังของปี 63 หุ้นละ 0.5 บาท (รวมเป็นการจ่ายทั้งปีที่หุ้นละ 1 บาท)