“จุรินทร์” กางแผนพาณิชย์ปี 64 ชู 14 ภารกิจ พลิกกลยุทธ์การค้า-เจรจาออนไลน์ นำรายได้เข้าปท.
“จุรินทร์” กางแผนพาณิชย์ปี 64 ชู 14 ภารกิจ พลิกกลยุทธ์การค้า-เจรจาออนไลน์ นำรายได้เข้าปท.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (7 ม.ค.64) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงทิศทางของกระทรวงฯ ในปี 2564 และการแก้ไขปัญหาภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยระบุว่า กระทรวงพาณิชย์มีแผนงานที่จะเดินหน้าเฉพาะในเรื่องสำคัญ ประกอบด้วยแผนงานต่อเนื่องจากปีที่แล้วและแผนงานที่เริ่มต้นใหม่ในปี 2564 มี 3 ส่วน 1.การเดินหน้าใช้ยุทธศาสตร์ “ตลาดนำการผลิต” 2.การเร่งรัดการนำรายได้เข้าประเทศ มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับภาคบริการควบคู่กันไปด้วย 3.มุ่งเน้นการทำงานกับทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาคเอกชนในรูปของกลไก กรอ.พาณิชย์
ประกอบด้วย 14 แผนงาน
1.เดินหน้าโครงการประกันรายได้เกษตรกรปีที่ 2
2.โครงการพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ลงลึกระดับตำบล
3.เกษตรผลิตพาณิชย์ตลาดโดยใช้ยุทธศาสตร์”ตลาดนำการผลิต”
4.แผนงานอาหารไทยอาหารโลก และมุ่งเน้นการส่งออกอาหารฮาลาล อาหารมังสวิรัติและอาหารแนวใหม่ที่กำลังเป็นเทรนด์สำคัญของโลก
5.ให้ความสำคัญ กระตุ้นทุกภาคส่วนให้ใช้ระบบการค้าออนไลน์มากขึ้น ขึ้นแพลตฟอร์ม และสร้างแพลตฟอร์มกลาง เช่น สร้างทีมเซลล์แมนจังหวัดให้เป็นเซลล์แมนแม่ไก่ในการเผยแพร่ความรู้เรื่องการค้าออนไลน์ให้กับผู้ผลิตและภาคเศรษฐกิจฐานรากในจังหวัด เป็นต้น
6.พัฒนาศักยภาพทางการตลาดให้กับภาคบริการ ทั้งกับผู้ค้าปลีก ค้าส่ง สมาร์ทโชห่วย กลุ่มโลจิสติกส์ กลุ่ม wellness กลุ่มดิจิตอลคอนเทนท์ กลุ่มร้านอาหาร กลุ่มบริการการพิมพ์ เน้นการทำฐานข้อมูลภาคบริการ ช่วยแก้ปัญหาและเพิ่มช่องทางการตลาดให้ภาคบริการ
7.พัฒนาศักยภาพทางการตลาดให้กับภาคการผลิตฐานราก ทั้ง SME และ Micro SME อบรมให้ความรู้หาตลาดและเปิดโอกาสทั้งในประเทศและต่างประเทศ นำ blockchain มาใช้ในการตรวจสอบย้อนกลับเพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายในตลาดที่กว้างขึ้นต่อไปในอนาคต
8.เร่งรัดการส่งออกในยุค New Normal โดยการใช้นวัตกรรมใหม่ทางการตลาดของกระทรวงพาณิชย์ ใช้แพลตฟอร์มที่มีศักยภาพทั้งของไทยและแพลตฟอร์มระดับโลกเป็นช่องทาง เน้นการจัดเอ็กซิบิชั่นในรูปแบบไฮบริดและ Mirror Mirror และอื่นๆ เข้าไปช่วยแก้ปัญหาเรื่องการส่งออกที่จะต้องพัฒนายุคโควิด
9.เดินหน้าการค้าชายแดนและการค้าข้ามแดนเชิงรุก ฝ่าวิกฤตโควิด ด่านที่เปิดอยู่แล้วนั้นถ้าไม่จำเป็นจะไม่ปิด และทันทีที่สถานการณ์โควิดดีขึ้นจะเปิดด่านโดยเร็วที่สุด
10.เร่งรัดการเจรจาการค้าเพื่อขยายการค้าของไทยไปยังตลาดโลกในทุกรูปแบบ โดยการเจรจา FTA โดยจะเร่งรัดการให้สัตยาบัน RCEP เพื่อให้มีผลบังคับใช้ได้ภายในกลางปีนี้ และเริ่มเปิดเจรจา FTA กับ 5 กลุ่มประเทศสำคัญ เช่น EU UK EFTA สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย อาเซียน-แคนนาดา และอื่นๆ และเร่งรัดนโยบายใหม่ การลงนาม Mini FTA และจัดตั้งกองทุน FTA เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม สร้างระบบจับตามองสำหรับเป็นประโยชน์กับผู้ส่งออกและผู้นำเข้าของไทย
11.ด้านทรัพย์สินทางปัญญา เร่งรัดการจดทะเบียน GI สำหรับสินค้าที่มีศักยภาพของไทยในพื้นถิ่นภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศสิ้นปี 63 สามารถจดทะเบียน GI ได้ 134 รายการ ครบทุกจังหวัดยกเว้นจังหวัดอ่างทองที่กำลังเร่งรัดอยู่ ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าในภาพรวมทั้งปี ถ้าไม่มีจะมีมูลค่าสินค้า 20,000 ล้านบาท เมื่อมี GI สามารถเพิ่มมูลค่าได้เป็น 36,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้นถึง 16,000 ล้านบาท
โดยกระทรวงพาณิชย์จะสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาและให้ประชาชนเห็นความสำคัญของทรัพย์สินทางปัญญามากขึ้นเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และจะสร้างระบบเตือนในเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา early warning เพื่อให้ภาคการผลิตของไทยได้เตรียมการสำหรับการผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการของคนไทย เมื่อสินค้าเหล่านั้นหมดสิทธิบัตรแล้ว และลดเวลาการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาให้สั้นลงให้เร็วขึ้น และให้ความคุ้มครองเชิงรุกกับทรัพย์สินทางปัญญาของไทยในต่างประเทศที่ถูกละเมิด และเริ่มต้นไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางทรัพย์สินทางปัญญาออนไลน์ในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่ค้าขายอยู่บนแพลตฟอร์มต่างๆ
12.แผนการให้บริการภาคธุรกิจและประชาชนรวดเร็วเชิงรุก มุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกและความรวดเร็วในการให้บริการผ่านระบบอีเล็คทรอนิกส์ สนองนโยบายE-Government ของรัฐบาล และเพิ่มช่องทางการร้องเรียนผ่านสายด่วน 1569 ให้สามารถเพิ่มช่องทางร้องเรียนผ่านไลน์ เป็นต้น
13.ร่วมงานกับทุกภาคส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนในรูป กรอ.พาณิชย์เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์การค้าไทย 5 ปี เป็นครั้งแรกของประเทศ เพื่อนำมาใช้เป็นแผนยุทธศาสตร์แม่บทเพิ่มมูลค่าการค้าทั้งภายในและระหว่างประเทศในปี 64-68
14.เดินหน้าให้บริการประชาชนแบบ One Stop Service ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียวโดยมีบริการทั้งหมดรวมกัน 85 บริการ
ทั้งนี้เพื่อเดินหน้าให้เห็นว่ากระทรวงพาณิชย์มีความตั้งใจที่จะปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงกับประโยชน์สูงสุดของประเทศต่อไปในปี 2564