“สธ.” แจงข้อดีวัคซีน “ซิโนแวค” มั่นใจประสิทธิภาพ ลุยจัดซื้อตามแผน ขอปชช.อย่าตื่นตระหนก
“สธ.” แจงข้อดีวัคซีน “ซิโนแวค” มั่นใจประสิทธิภาพ ลุยจัดซื้อตามแผน ขอปชช.อย่าตื่นตระหนก
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตามที่มีข้อวิจารณ์ถึงคุณภาพวัคซีน Sinovac จากประเทศจีน ซึ่งรัฐบาลเตรียมการจัดซื้อ 2 ล้านโดส โดยมีข้อกังวลที่อ้างผลการทดลองในบราซิลว่า มีประสิทธิภาพน้อยกว่า 60% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าของไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นาที่อยู่ระหว่าง 80 – 90%
ทางด้านกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย) ชี้แจงว่า ข้อมูลการวิจัยวัคซีนจีนในบราซิลยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมในการพิจารณาคุณภาพ ทั้งนี้ จากข้อมูลในการแถลงของสถาบันบูตันตัน เป็นการเสนอข้อมูลประสิทธิภาพในภาพรวมของการทดลองในอาสาสมัครบุคลากรทางการแพทย์ ที่ทำงานในพื้นที่ที่มีการระบาดสูง ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อมากกว่าคนปกติ ทำให้ได้ผลในด้านการป้องกันการติดเชื้อเพียงร้อยละ 50.4
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาข้อมูลเพิ่มเติม เรื่องการป่วย จะพบว่ากลุ่มผู้ที่ฉีดวัคซีนสามารถป้องกันการป่วยได้ 78% และป้องกันอาการรุนแรงถึง 100% ดังนั้น ไม่ว่าบริษัทใดก็ตามที่มีผลการทดลองเฟส 3 เป็นผลการทดลองในระยะต้นทั้งสิ้น การทดลองในเฟส 3 จะสมบูรณ์แบบได้ ต้องใช้เวลาประมาณปีครึ่ง จึงจะได้ข้อสรุปถึงประสิทธิภาพและผลข้างเคียงของการใช้วัคซีน จึงต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ให้ข้อมูลด้วยว่า ข้อดีของวัคซีนจากประเทศจีน คือเป็นการใช้เชื้อตายฉีดเข้าร่างกาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ถือเป็นรูปแบบดั้งเดิม เช่น วัคซีนไวรัสตับอักเสบ โปลิโอ และมีข้อมูลว่า ประเทศจีนนำไปฉีดให้กลุ่มทหาร และบุคลากรทางการแพทย์หลายแสนคน ไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง ทั้งนี้ การพิจารณาการนำวัคซีนมาใช้ ต้องดูคุณสมบัติหลายด้าน เช่น คุณภาพ ประสิทธิภาพ ราคา จำนวนปริมาณ ระยะเวลาในการจัดส่ง รวมถึงคุณสมบัติอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับประเทศไทย
ทั้งนี้ นายแพทย์ณรงค์ สายวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวว่า “ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ากระทรวงสาธารณสุข จะจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ และต้องไม่พบอาการที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่ง WHO ได้ประกาศว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนเกิน 50 % ขึ้นไปสามารถใช้ได้ ขอประชาชนไม่ตระหนก กระทรวงสาธารณสุขได้ประสานขอข้อมูลจากชิโนแวคเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาแล้ว ขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบต่อแผนการฉีดวัคซีนโควิด19”