มติบอร์ดฯ เคาะเก็บค่าประกันภัย-ชีวิตต่างชาติ คนละ 300 บ. เข้ากองทุนส่งเสริมท่องเที่ยว
มติบอร์ดฯ เคาะเก็บค่าประกันภัย-ชีวิตต่างชาติ คนละ 300 บ. เข้ากองทุนส่งเสริมท่องเที่ยว
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.)ครั้งที่ 1/2564 ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนจัดเก็บเงินค่าประกันภัยและประกันชีวิตจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในไทย คล้ายกับลักษณะซาโยนาระแท็ก ของประเทศญี่ปุ่น และนำมาบริหารรูปแบบกองทุน โดยจะมีการเรียกเก็บจากนักท่องเที่ยว คนละประมาณ 300 บาท โดยนำเงินดังกล่าวไปบริหารจัดการเรื่องประกันภัยให้กับนักท่องเที่ยวทุกคน
นายพิพัฒน์ คาดว่า จะมีเงินในกองทุนปีแรกประมาณ 3,000 ล้านบาท จากการคาดการณ์ว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งหลังจากนี้ จะนำเรื่องไปหารือกับกระทรวงการคลัง และคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ก่อนที่จะมีการประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 300 บาท/คน ในการเข้ามาประเทศไทยในแต่ละครั้ง เพื่อสมทบในกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้จ่ายในการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว รวมถึงจัดให้มีการประกันภัยแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติระหว่างท่องเที่ยวภายในประเทศไทย โดยจะจัดเก็บรูปแบบออนไลน์ ซึ่งจะได้จัดทำรายละเอียดต่อไป
“ขั้นตอนหลังจากนี้ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ดำเนินการจัดทำประกาศกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจัดเก็บในรายละเอียด แล้วนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2564-65 ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยวภายหลังสถานการณ์โควิด-19 เตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปรับตัวเข้ากับการท่องเที่ยววิถีใหม่
น.ส.ไตรศุลี กล่าวถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวของไทยในปี 2563 (ม.ค.-ธ.ค.) ว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับสถานการณ์ทั่วโลกซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยนักท่องเที่ยวทั่วโลก (ม.ค.-ต.ค.63) ลดลง 900 ล้านคน หรือลดลง 72% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามายังประเทศไทยอยู่ที่ 6.69 ล้านคน ลดลง 33.21 ล้านคน หรือลดลง 83.22% ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยที่เที่ยวในประเทศ ตลอดทั้งปีอยู่ที่ 90.32 ล้านคน-ครั้ง ลดลง 82.42 ล้านคน-ครั้ง หรือลดลง 47.71%
การลดลงดังกล่าว ส่งผลต่อรายได้ของผู้ประกอบการและลูกจ้างในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทำให้รัฐบาลได้เร่งออกมาตรการให้ความช่วยเหลือผ่านการอนุมัติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วหลายมาตรการ ทั้งการกระตุ้นการท่องเที่ยว มาตรการด้านภาษี เช่น การลดภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของผู้ประกอบการ ส่งเสริมเสถียรภาพการจ้างงาน มาตรการลดภาระทางการเงิน เช่น การลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม การให้สิทธิประโยชน์จากการว่างงาน การขยายเวลาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟแก่ผู้ประกอบการโดยไม่คิดดอกเบี้ย ตลอดจนมาตรการด้านการเงินที่ครอบคลุมทั้งผู้ประกอบการและลูกจ้าง และขณะนี้มาตรการเพิ่มเติมต่างๆ ก็ได้ทยอยเข้าสู่ที่ประชุม ครม. เพื่ออนุมัติ
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุมได้ติดตามความคืบหน้าโครงการเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist Visa (STV) ซึ่งโครงการได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.63 ตามโครงการมีขั้นตอนการยื่นเอกสาร การตรวจคัดกรอง การกักตัวที่เข้มงวดก่อนอนุญาตให้ท่องเที่ยวในประเทศไทย
จากข้อมูล ณ วันที่ 11 ม.ค.64 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติประเภท STV เข้ามายังประเทศไทยผ่านการดำเนินการของบริษัท ลองสเตย์ จำกัด แล้ว 1,114 คน เฉพาะเดือน ม.ค.64 มีนักท่องเที่ยวแจ้งความประสงค์เดินทางเข้าประเทศไทย 123 คนนอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับรายงานความคืบหน้าความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนภายใต้มาตรการรับท่องเที่ยวกลุ่ม STV เพื่อให้การท่องเที่ยวยังเดินหน้าไปได้ ควบคู่กับการดูแลความปลอดภัยที่เข้มงวด โดยทราบว่าปัจจุบันมีทั้งโรงแรมและโรงพยาบาลใน 10 จังหวัด ที่สามารถเป็น ASQ และ ALQ ตามโครงการได้