SPALI ตั้งเป้ายอดขายปีนี้แตะ 2.7 หมื่นลบ. รับ 31 โครงการใหม่ หนุนผลงานปี 64 ทำนิวไฮ

SPALI ตั้งเป้ายอดขายปีนี้แตะ 2.7 หมื่นลบ. รับ 31 โครงการใหม่ หนุนผลงานปี 64 ทำนิวไฮ


นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เปิดเผยว่า ปี 2564 ถือเป็นปีที่ผลงานของบริษัทจะทำ New High ทั้งรายได้และกำไร จากโครงการคอนโดสร้างเสร็จพร้อมโอนที่รอรับรู้รายได้จำนวนมาก และเชื่อว่าโครงการแนวราบจะมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องเช่นกัน

บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายในปี 2564 ไว้ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 9% จากปีก่อนที่ทำยอดขายไปได้ 2.45 หมื่นล้านบาท โดยเปิดโครงการใหม่ 31 โครงการจะมีมูลค่าโครงการราว 3.4 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่เปิดโครงการใหม่ไป 28 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.45 หมื่นล้านบาท ขณะที่วางเป้ารายได้ไว้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท

สำหรับโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่โครงการแนวราบถึง 27 โครงการ ซึ่งจะมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ด้วย เนื่องจากมองเห็นโอกาสเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ที่สนใจซื้อโครงการแนวราบระดับราคา 3-5 ล้านบาท ส่วนคอนโดมิเนียมจะเปิดตัว 4 โครงการในทำเลที่ลูกค้าสนใจ และทำเลที่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต จึงเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกับปีก่อนที่เปิดไป 3 โครงการ ขณะที่วางงบซื้อที่ดินในปีนี้ไว้ที่ 8 พันล้านบาทเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต

ด้านรายได้ในปีนี้จะมีการโอนโครงการใหม่ที่เป็นคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จ 3 โครงการ ได้แก่ ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร มูลค่า 2.99 พันล้านบาท ขายได้แล้ว 100% , ศุภาลัย ริว่า แกรนด์ มูลค่า 6.8 พันล้านบาท ขายได้แล้ว 73% และ ศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ มูลค่า 4.5 พันล้านบาท ขายได้แล้ว 87% นอกจากนั้น ยังมี ศุภาลัย ออเรนทัล สุขุมวิท 39 ที่จะทยอยโอนส่วนใหญ่ในปีนี้

ดังนั้น บริษัทจึงมั่นใจว่าปี 2564 จะมีผลงานเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดและทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 3.75 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีกำหนดรับรู้รายได้ในปีนี้กว่า 1 หมื่นล้านบาท

ขณะที่การดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 2564 ยังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมที่อยู่อาศัย การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ แบบบ้านใหม่ การพัฒนาคุณภาพสินค้า และบริการให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค รวมทั้งเดินหน้าลงทุนในทำเลใหม่ๆ เพื่อขยายตลาดให้กว้างขึ้น ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุมทุกวัย

พร้อมกันนั้นและมุ่งเน้นเจาะตลาดกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง เพราะลูกค้าในกลุ่มนี้เมื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้วมักจะโอนกรรมสิทธิ์ตามกำหนด เพื่อลดความเสี่ยงในการทิ้งดาวน์ และจะขยายการลงทุนในออสเตรเลียต่อเนื่อง ตั้งเป้ายอดขายเติบโตก้าวกระโดดมาที่ 5.35 พันล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังมีความพร้อมทางต้นทุนทางการเงิน จากอันดับเครดิตองค์กรจาก ทริสเรทติ้ง ระดับ A สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการดำเนินธุรกิจที่มีการเติบโต และมีแนวโน้มในการสร้างรายได้ และกำไรของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ถือว่าบริษัทมีภาระหนี้สินที่ต่ำที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรมและต้นทุนทางการเงินต่ำกว่า 1.9% ต่อปี

ส่วนทิศทางสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2564 แนวโน้มจะเติบโตขึ้นจากปี 2563 และจะกลับสู่ภาวะปกติในเวลาไม่นาน จากการปรับตัวเข้าสู่ยุค New Normal ในปีที่ผ่านมา ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 หลายบริษัทต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว และทันต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะการปรับกลยุทธ์และรูปแบบการขายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างเร็ว และทำให้ธุรกิจยังเดินหน้าต่อไปได้

สำหรับมาตรการสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมาในการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% ต่อเนื่องจากปี 2563 สำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาท มองว่าช่วยผลักดันตลาดได้เพียงส่วนหนึ่ง เพราะที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 30-35% ของตลาดรวม จึงเชื่อว่าจะไม่สามารถกระตุ้นการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้เห็นผลมากนัก จึงเสนอให้รัฐบาลขยับเพดานราคาเพิ่มไปที่ 5 ล้านบาท เพื่อทำให้เกิดการกระจายตัวมากขึ้นในสัดส่วน 70-80% ของตลาด

Back to top button