GLOCON พุ่งแรง 11% ลุ้นผลงานปี 63 พลิกกำไร-ปักธงรายได้โตแตะ 2.26 พันลบ.
GLOCON พุ่งแรง 11% ลุ้นผลงานปี 63 พลิกกำไร-ปักธงรายได้โตแตะ 2.26 พันลบ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท โกลบอล คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOCON ณ เวลา 10.56 น. อยู่ที่ระดับ 0.91 บาท บวก 0.09 บาท หรือ 10.98% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 76.56 ล้านบาท คาดเก็งกำไรทางเทคนิคขาขึ้นรอบใหม่และลุ้นผลงานปี 63 พลิกกำไรโดดเด่น
โดยก่อนหน้านายเชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์ ประธานกรรมการบริหาร GLOCON เปิดเผยว่า จากการปรับกลยุทธ์ในธุรกิจเดิมขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ ขยายฐานลูกค้า และการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจใหม่ ทำให้แนวโน้มผลการดำเนินธุรกิจในปี 2563 ของทุกกลุ่มธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ
โดยบริษัทตั้งเป้าหมายปี 2563 มีรายได้รวม 2,260 ล้านบาท เติบโตไม่ต่ำกว่า 88% จากปี 2562 ที่คาดว่าจะมีรายได้รวม 1,205 ล้านบาท ซึ่งมาจาก 3 ธุรกิจ ประกอบด้วย
1.ธุรกิจอาหาร (Food) ในปี 2563 คาดว่าจะมีรายได้รวม 1,108.40 ล้านบาท จากปี 2562 มีรายได้รวม 392.40 ล้านบาท แบ่งเป็น
1.1) อาหารแช่แข็ง (Frozen Food) ในปี 2563 จะมีรายได้รวม 509.40 ล้านบาท เติบโต 30% จากปี 2562 ที่มีรายได้ประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งในปี 2563 จะมีสินค้าออกใหม่กว่า 30 รายการ และในตลาดต่างประเทศจะเจาะตลาดใหม่อย่างสหรัฐอเมริกาและแอฟริกาที่มีโอกาสเติบโตอีกมาก จากเดิมมีตลาดญี่ปุ่น เยอรมนี อิตาลี เกาหลีใต้ เป็นต้น โดยมีอัตราการเดินเครื่องผลิตเฉลี่ย 50% ขณะที่ตลาดในประเทศคิดเป็น 80% ของยอดขายรวม ซึ่งส่วนใหญ่จะทำร่วมกับ 7-11 ซึ่งมีอยู่แล้ว 70-80 รายการ และ
1.2) อาหารอบแห้ง (Dried fruit) ในปี 2563 จะมีรายได้รวม 599 ล้านบาท โดยตลาดส่งออกคิดเป็น 90% ของยอดขายรวม เตรียมขยายตลาดใหม่เข้าสู่ตลาดจีน เพราะชาวจีนชื่นชอบอาหารอบของไทยอยู่แล้ว รวมถึงกลุ่มประเทศ CLMV กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม จากฐานตลาดเดิมที่มีอยู่ในเนเธอร์แลนด์ รัสเซีย เยอรมนี และโรมาเนีย เป็นต้น
2.ธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์ (Packaging) เป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง แต่ยังเติบโตได้ดี ในปี 2563 ประเมินว่าจะมีรายได้รวม 724 ล้านบาท เติบโต 24-25% จากปี 2562 มีรายได้รวมอยู่ที่ 583.10 ล้านบาท โดยจะมาจากลูกค้ารายใหม่ 15-20% ซึ่งไม่นับรวมสินค้าใหม่ ๆ ที่ยังมีโอกาสทำการตลาดได้เพิ่มเติม ขณะที่บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพการผลิตโดยเฉพาะกลุ่มพลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) เพราะมีแนวโน้มที่โดดเด่นและกำไรดี มีแนวโน้มเปลี่ยนเป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้ รวมทั้งมองหาโอกาสการเติบโตในทุกรูปแบบ ทั้งร่วมลงทุนกับพันธมิตร และการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
3.ธุรกิจร้านอาหาร (Restaurant) ในปี 2563 ประเมินว่าจะมีรายได้รวม 230.60 ล้านบาท เติบโต 20% จากปี 2562 ที่มีรายได้รวม 192.10 ล้านบาท แบ่งเป็น ร้าน A&W จำนวน 189 ล้านบาท และร้าน Kitchen Plus (KP) จำนวน 41.60 ล้านบาท โดยปี 2563 เตรียมขยายร้าน A&W เพิ่มอีก 10-15 สาขา ทำเลย่านสถาบันการศึกษา พร้อมขยายช่องทางอาหารในร้านสะดวกซื้อ 7-11 ส่วนร้าน KP จะขยายสาขาขนาดเล็กเพิ่ม 1-2 สาขา นอกจากนี้บริษัทมีแผนจะปิดสาขาที่ขาดทุนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสาขาค่าเช่าที่แพง และขยายเมนูอาหารประเภทข้าว
ทั้งนี้ ในปี 2563 บริษัทตั้งงบลงทุนวางไว้ประมาณ 200-250 ล้านบาท เพื่อลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งรวมการเข้าซื้อธุรกิจผลไม้อบแห้งจากบริษัท ไวด้า ฟูด แฟคทอรี (1989) จำกัด และเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนในบริษัท ฟรุตตี้ดราย จำกัด (FD) ในสัดส่วน 51% รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 74 ล้านบาท เพื่อเพิ่มธุรกิจส่งออกประเภทผลไม้อบแห้งไปในหลายประเทศ เช่น ประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งต่อยอดธุรกิจบรรจุภัณฑ์ขวด และกล่องพลาสติก โดยเงินลงทุนดังกล่าวบางส่วนจะมาจากการกู้ธนาคาร
นายเชิดศักดิ์ กล่าวต่อว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทมั่นใจจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้จากปี 2562 ที่มีขาดทุน โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 ขาดทุนลดเหลือ 38.08 ล้านบาท และคาดว่าจะล้างขาดทุนสะสมภายใน 2-3 ปีต่อจากนี้ เนื่องจากธุรกิจใหม่จะเข้ามาช่วยเสริมธุรกิจเดิมได้ดี โดยเฉพาะธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์ที่จะเป็นฐานการเติบโตเข้าไปสู่ตลาดโลก และไม่ต้องกังวลกับเศรษฐกิจไทยมากเกินไป รวมทั้งรับผลบวกจากการปรับปรุงวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาสามารถลดต้นทุนได้มากกว่า 5% และการปรับปรุงการผลิตเครื่องมือสมัยใหม่ เพื่อลดระยะเวลาการผลิตและลดการสูญเสีย ซึ่งนำมาสู่การสร้างกำไรได้ดีขึ้น