VL วิ่งแรง 11% ทุบสถิติ “ออลไทม์ไฮ” จ่อรับเรือเพิ่ม 1 ลำ หนุนรายได้ปีนี้โต 20%
VL วิ่งแรง 11% ทุบสถิติ "ออลไทม์ไฮ" จ่อรับเรือเพิ่ม 1 ลำ หนุนรายได้ปีนี้โต 20% โดย ณ เวลา 15.46 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 1.97 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 11.30% สูงสุดที่ระดับ 2.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.77 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 218.06 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท วี.แอล.เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ VL ณ เวลา 15.46 น. อยู่ที่ระดับ 1.97 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 11.30% สูงสุดที่ระดับ 2.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.77 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 218.06 ล้านบาท โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2562 มีราคา IPO อยู่ที่ 1.75 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น คาดว่ามาจากความคาดหวังว่า VL จะรับเรือลำใหม่เข้ามาในเดือนเม.ย.นี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง
นางชุติภา กลิ่นสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร VL เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2564 จะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 20% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเพิ่มเรือใหม่จำนวน 1 ลำ ขนาด 2,800 เดทเวทตัน ในเดือน มี.ค.-เม.ย. นี้ เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งลูกค้าหลักของบริษัทยังอยู่ในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia)
ขณะที่ปัจจุบัน กองเรือของบริษัทมีน้ำหนักบรรทุกรวมกันที่ 39,000 เดทเวทตัน ซึ่งให้บริการการขนส่งผลิตภัณฑ์ของเหลวในประเทศเป็นหลัก โดยเป็นการขนส่งปิโตรเลียมให้กับคู่ค้าในกลุ่มผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ เช่น บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) , บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP), บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด เป็นต้น ขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาหาลูกค้าเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ แต่การขนส่งน้ำมันยังคงเป็นไปอย่างปกติ แต่บริษัทคงยังคงต้องระมัดระวังและติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพราะหากการแพร่ระบาดรุนแรงมากขึ้นกว่านี้อาจมีผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมัน ทำให้บริษัทยังคงชะลอการลงทุนต่างๆ ไปก่อนจนกว่าจะผ่านช่วงครึ่งปีแรกนี่ไปไดัจึงจะพิจารณาการลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติม โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาธุรกิจขนส่ง LNG หากสถานการณ์มีความเหมาะสมก็อาจจะเริ่มได้ในช่วงครึ่งปีหลัง
“การขนส่งยังคงมีตามปกติแม่ว่าจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่เราก็ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และชะลอการลงทุนขนาดใหญ่ๆออกไป แต่หากสถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นเราก็อาจจะพิจารณาการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังได้”
สำหรับผลประกอบการปี 63 บริษัทยอมรับว่ารายได้ทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะเติบโตราว 5% จากปี 62 เนื่องจากปริมาณการขนส่งที่ปรับตัวลดลงโดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4/63 ที่ลดลงถึง 20%
“เรายอมรับว่ารายได้ปี 63 จะต่ำกว่าปี 62 เนื่องจากปริมาณการขนส่งที่ลดลงจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดค่อนข้างมาก ซึ่งหากเทียบในปีปกติก็คงจะยากที่จะเติบโตได้ แต่จะลดลงมากหรือน้อยคงต้องรอดูสรุปอีกครั้ง”