MINT คาดรายได้ปีนี้สดใส รับธุรกิจฟื้นตัว หลัง”โควิด”คลี่คลาย พร้อมรักษาสภาพคล่องต่อเนื่อง

MINT คาดรายได้ปีนี้สดใส รับธุรกิจฟื้นตัว หลัง"โควิด"คลี่คลาย จากการกระจายของวัคซีน และการเปิดพรมแดนของประเทศต่างๆ พร้อมรักษาสภาพคล่องต่อเนื่อง


นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้รายงานผลประกอบการในปี 2563 มีผลขาดทุนสุทธิ 21,407 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ทั่วโลกในปีที่ผ่านมา ทำให้ปิดประเทศและมีการออกมาตรการต่างๆ ซึ่งส่งผลต่ออุตสาหกรรมภาคการท่องเที่ยวและบริการเป็นอย่างมาก แต่คาดว่าในปี 2564 บริษัทฯ จะมีรายได้เติบโตขึ้นจากปี 2563 หลังจากเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจของบริษัท เช่น ธุรกิจอาหาร

โดย ไมเนอร์ ฟู้ด มีกำไรในไตรมาส 4 ปี 2563 กว่า 540 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าจากในไตรมาส 4 ปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 258 ล้านบาท จากความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีน มาตรการการควบคุมค่าใช้จ่ายที่เข้มงวด และการประหยัดต่อขนาดของแบรนด์บอนชอน ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยมีความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะเดียวกันด้านธุรกิจโรงแรม โดย ไมเนอร์ โฮเทลส์ มีการฟื้นตัวอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะในประเทศมัลดีฟส์และออสเตรเลีย มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนในเดือนธันวาคม 2563 ต่ำกว่าเดือนธันวาคม 2562 ซึ่งเป็นฤดูการท่องเที่ยวเพียง 5% โดยอัตราการเข้าพักในเดือนธันวาคม 2563 มัลดีฟส์อยู่ที่ร้อยละ 75 และออสเตรเลียอยู่ที่ร้อยละ 62 ซึ่งถือว่าใกล้เคียงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งการฟื้นตัวของอนันตรา เวเคชั่น คลับ และยอดขายของโครงการที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สามารถกลับมาสร้างกำไรสุทธิได้ แม้โรงแรมในยุโรปยังชะลอตัว แต่เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ยังคงดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพด้วยแพลตฟอร์มการขายที่แข็งแกร่ง

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่าย การลดกระแสเงินสดจ่าย และการรักษาสภาพคล่องตลอดไตรมาส 4 หลังจากการระบาดระลอกใหม่ ส่งผลให้กระแสเงินสดจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1,500 ล้านบาทในไตรมาส 3 เป็น 1,600 ล้านบาทในไตรมาส 4 อย่างไรก็ตามในด้านของฐานะการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่งและมีความยืดหยุ่น

โดยปัจจุบันมีกระแสเงินสดกว่า 25,000 ล้านบาท และวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินอีก 28,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีเงินทุนสำรองที่เพียงพอสำหรับการดำเนินงานต่อไปได้อีกกว่าสองปี และการฟื้นตัวของธุรกิจจะช่วยให้บริษัทมีฐานเงินสดที่เพิ่มขึ้นด้วย พร้อมทั้งมีการปรับลดงบลงทุนในปีนี้ลง 52% อยู่ที่ 4,000-5,000 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท รวมทั้งคณะกรรมการบริษัท มีมติงดการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2563 เพื่อรักษาสภาพคล่องและเป็นเงินทุนหมุนเวียนจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19

ทั้งนี้ ในด้านการบริหารจัดการฐานะทางการเงิน บริษัทได้วางแผนเชิงรุก โดยต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นกู้ ขยายระยะเวลาการยกเว้นการทดสอบการดำรงอัตราส่วนทางการเงินออกไปอีกสองปีจนถึงสิ้นปี 2565 รวมถึงผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัทฯ ได้อนุมัติการแก้ไขคำจำกัดความของข้อกำหนดสิทธิ โดยไม่นับรวมผลกระทบจากการด้อยค่าสินทรัพย์จากสถานการณ์โควิด-19 ในส่วนของผู้ถือหุ้นเพื่อการคำนวณอัตราส่วนทางการเงินไปจนถึงสิ้นปี 2567 แสดงให้เห็นถึงการให้ความสนับสนุนและความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นกู้ที่มีต่อบริษัทฯ นอกจากนี้ บริษัทมีกลยุทธ์ในการหมุนเวียนสินทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2564 โดยบริษัทจะสามารถใช้เงินที่ได้จากการหมุนเวียนสินทรัพย์นี้ มาลดหนี้ของบริษัทได้เพิ่มเติมอีกด้วย

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการออกใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้น (วอร์แรนท์) 2 ชุดให้ผู้ถือหุ้นเดิมที่มีชื่อในทะเบียนวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 คือวอร์แรนท์ครั้งที่ 8 หรือ MINT-W8 จำนวน 179,020,602 หน่วย สัดส่วน 29 ต่อ 1 ราคาแปลงสภาพ 28 บาท อายุไม่เกิน 2 ปี โดยจะครบกำหนดในปี 2566 และวอร์แรนท์ครั้งที่ 9 หรือ MINT-W9 จำนวน 162,237,420 หน่วย สัดส่วน 32 ต่อ 1 ราคาแปลงสภาพ 31 บาท อายุไม่เกิน 3 ปี โดยครบกำหนดในปี 2567 และเพิ่มทุนจำนวน 341,258,022 หุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิแปลงสภาพของวอร์แรนท์ ซึ่งการใช้สิทธิแปลงเป็นหุ้นจะช่วยเสริมฐานผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจำนวน 1 หมื่นล้านบาทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ด้วยจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นเพียง 6.2% โดยบริษัทจะจัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติในวันที่ 22 เมษายน 2564 เวลา 13 นาฬิกา ณ ห้องแกรนด์ ริเวอร์ไซด์ บอลรูม ชั้น 10 โรงแรมอวานี พลัส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ  

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทฯ ในฐานะผู้นำธุรกิจโรงแรม อาหาร และไลฟ์สไตล์ ทั้งในประเทศไทยและระดับโลก คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดี สืบเนื่องจากการกระจายของวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวมทั้งการใช้วัคซีนพาสปอร์ต และคาดว่าจะเริ่มมีการเปิดพรมแดนของแต่ละประเทศ เพื่อกลับมารับนักท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น และจะส่งผลทำให้ภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว เพื่อรองรับความต้องการการเดินทางท่องเที่ยวที่คาดว่าจะมีความต้องการสูงมาก แม้ว่าอาจจะยังไม่เท่ากับในปี 2562 ก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับเข้ามาอาจต้องใช้เวลา คาดว่าจะเป็นช่วงครึ่งหลังของปีนี้

“บริษัทได้ดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งการลดรายจ่าย การหาช่องทางการสร้างรายได้ใหม่ในยุค New Normal รวมทั้งการรักษาสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อรองรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ จากนี้ต่อไป การกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 การใช้วัคซีนพาสปอร์ต การลดระยะเวลาวันกักตัว และมาตรการผ่อนปรนผ่อนคลายอื่นๆ

รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจากภาครัฐของไทยและทั่วโลก ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและการบริการกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น หากมีการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ดี นักท่องเที่ยวทั่วโลกก็พร้อมที่จะเดินทาง ซึ่ง MINT ในฐานะผู้นำของอุตสาหกรรมและธุรกิจทั้งในไทยและทั่วโลก ได้เตรียมความพร้อมรองรับความต้องการเดินทางและการฟื้นตัวที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในไตรมาสที่ 3-4 ของปีนี้ ก่อนที่จะฟื้นตัวใกล้เคียงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 ภายในปี 2565-2566″

Back to top button