ASIAN ปักธงรายได้ปีนี้โต 10% รับธุรกิจอาหารสัตว์สดใส พร้อมเดินหน้า M&A เสริมแกร่งธุรกิจ
ASIAN ปักธงรายได้ปีนี้โต 10% คาดคงอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 15% รับธุรกิจอาหารสัตว์สดใส พร้อมเดินหน้า M&A เสริมแกร่งธุรกิจ
นายเอกกมล ประสพผลสุจริต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN เปิดเผยว่า แผนธุรกิจปี 2564 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายและบริการหลักจะเติบโตราว 8-10% จากปีก่อนมาอยู่ที่ราว 9,500 ล้านบาท จากการเติบโตของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และอาหารสัตว์น้ำเป็นสำคัญ พร้อมทั้งคงนโยบายเน้นขยายตลาดผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าในกลุ่มอาหารแช่เยือกแข็ง ตั้งเป้าคงอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 14-15%
โดยแม้ปีนี้ ASIAN ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ และค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่เชื่อมั่นว่าผลประกอบการจะยังคงเติบโต โดยยังคงได้รับผลเชิงบวกจากการปรับกลยุทธ์ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561 ที่ส่งผลโดดเด่นในปี 2563 และคาดว่าปี 2564 จะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในระดับ 15%
อย่างไรก็ดี ปีนี้บริษัทจะยังคงมีธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นดาวเด่นต่อเนื่อง เติบโตด้วยปริมาณคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะลูกค้าในสหรัฐอเมริกาและยุโรป กำลังการผลิตในส่วนผลิตภัณฑ์บรรจุถุงเพาซ์และบรรจุถ้วยพลาสติกเต็มจนถึงกลางปี แม้ว่าจะขยายไลน์ผลิตเพาซ์ไปแล้วในไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา
ในส่วนของอาหารสัตว์เลี้ยงแบรนด์ monchou และ Hajiko ของบริษัท มีการปรับกลยุทธ์ในการขายเพื่อรุกตลาดภายในประเทศมากขึ้น เน้นการขยายตลาดร้านค้าสัตว์เลี้ยงและตลาดปี 64 โมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ ตลอดจนมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมทั้งตลาดระดับพรีเมี่ยมและตลาดระดับกลาง คาดว่าธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจมาร์จิ้นสูง จะยังคงสัดส่วนอยู่ที่ระดับประมาณ 37% ของรายได้รวม โดยที่บริษัทยังอยู่ในระหว่างขยายไลน์การผลิตในกลุ่มผลิตภัณฑ์บรรจุถุงเพาซ์และบรรจุถ้วยพลาสติกเพิ่ม คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มผลิตได้ในไตรมาส 3/64
ขณะที่กลุ่มอาหารสัตว์น้ำ บริษัทคาดว่ากลุ่มอาหารกุ้งจะยังเติบโตได้และทำกำไรได้ในอัตราที่น่าพอใจ พิจารณาจากความสำเร็จในการขยายตลาดในปี 2563 ที่ผ่านมา ในขณะที่กลุ่มอาหารปลาที่ขึ้นกับการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก คาดว่าในช่วงต้นปีจะยังคงกดดันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และจะปรับตัวดีขึ้น
สำหรับธุรกิจอาหารแช่แข็ง ในปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนคิดเป็น 33% ของรายได้รวม มองว่าจะเป็นอีกธุรกิจในกลุ่ม ASIAN ที่น่าจับตามอง เนื่องจาก บริษัทฯ เดินตามกลยุทธ์ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม (Value added product) เพื่อรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้มีแนวโน้มที่ดี กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุงแช่เยือกแข็งมีแนวโน้มเติบโตดี และกำลังอยู่ในระหว่างการขยายกำลังการผลิต และอัตรากำไรในกลุ่มหมึกก็ยังคงมีแนวโน้มที่น่าพอใจ
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะใช้งบประมาณลงทุนในปี 2564 ราว 400 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบลงทุนในการเพิ่มกำลังการผลิตกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์พร้อมปรุงแช่เยือกแข็ง ราว 300 ล้านบาท เป็นงบลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตราว 70 ล้านบาท และงบลงทุนในการขยายระบบ ERP รองรับทุกธุรกิจอีก 30 ล้านบาท เพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต
นอกจากนี้ จากสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น ทำให้ ASIAN สามารถมองหาโอกาสในการเติบโตจากการควบรวมกิจการ (M&A) ตามนโยบายการเข้าใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมองหากิจการในกลุ่มที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดจำหน่ายในตลาดที่สำคัญของกลุ่มบริษัท กิจการที่เป็นเจ้าของแบรนด์ หรือกิจการที่มีกำลังการผลิตในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า แต่ทั้งนี้ ASIAN มีนโยบายที่จะดำเนินการดังกล่าวด้วยความรอบคอบ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นได้รับประโยชน์สูงสุดและมีความเสี่ยงน้อยที่สุด
“ASIAN มีการปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจ และใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน โดยในปีที่ผ่านมาได้ปรับปรุงโรงงานให้ทันสมัย และเพื่อใช้แรงงานที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหาร ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลจากการลดต้นทุนต่อเนื่องในปีนี้ วางงบลงทุน 400 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ลงทุนในการขยายเครื่องจักร และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้ดีขึ้นแทนการใช้แรงงานคน สนับสนุนแนวโน้มกำไรให้สูงขึ้น อีกทั้ง มุ่งเน้นกลยุทธ์ ชูตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง การเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ และอาหารสัตว์น้ำ”
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในงวดปี 2563 มีกำไรสุทธิ 818 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 685 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 515% เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 133 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายรวมอยู่ที่ 8,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เทียบกับปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 8,194 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายของกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง และได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นในกลุ่มอาหารสัตว์น้ำ
ขณะที่กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 1,393 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 741 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 652 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ 16% ซึ่งทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เริมดำเนินกิจการ เทียบกับปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 8% เนื่องจากยอดขายกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงสูง และมีอัตรากำไรที่ดีขึ้นมากในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่เยือกแข็ง แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น