KOOL พุ่งแรง 13% ทะลุเป้า 1.20 บ. รับแผนขยายธุรกิจใหม่ มั่นใจรายได้ปีนี้โต 30%
KOOL พุ่งแรง 13% ทะลุเป้า 1.20 บ. รับแผนขยายธุรกิจใหม่ มั่นใจรายได้ปีนี้โต 30%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL ณ เวลา 12.15 น. อยู่ที่ระดับ 1.27 บาท บวก 0.15 บาท หรือ 13.39% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 192.05 ล้านบาท ราคาหุ้นนิวไฮในรอบ 1 ปี 8 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 1.27 บาท เมื่อวันที่ 26 ก.ค.62
ด้าน บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ระบุในบทวิเคราะห์โดยแนะนำลงทุนกลุ่มหุุ้นดังนี้
โดยก่อนหน้านี้นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2564 จะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) เพื่อวางเป้าหมายและแผนการดำเนินงานในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เบื้องต้นยังคงคาดรายได้รวมจะมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมองช่องทางการจำหน่ายจากการส่งออก (Export) มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีมาก จากการมีตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา เบื้องต้นประเมินการส่งออกในปี 2564 น่าจะเติบโตได้ประมาณ 20-30% จากปีก่อน
ขณะที่ช่องทางการจำหน่ายแบบ Corporate อย่างการขายให้กับโครงการโดยตรง ในปี 2564 น่าจะเติบโตได้ประมาณ 30% จากปีก่อน ส่วนช่องทางการจำหน่ายแบบขายปลีก (Retail) อย่างการขายผ่านห้างสรรพสินค้า น่าจะเติบโตน้อยลงจากปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
สำหรับกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานธุรกิจเดิมในปี 2564 ประกอบด้วย 1.ปรับพอร์ตการขายใหม่ พร้อมผลักดันการขายผ่านช่องทางออนไลน์ (Online) โดยปรับกระบวนการจัดส่งในกลุ่มลูกค้า B2C มากขึ้น 2.เพิ่มสินค้าใหม่ในกลุ่มเพื่อสุขภาพ (ฆ่าเชื้อโรค, ปรับปรุงคุณภาพอากาศ) ในทุกกลุ่มลูกค้า ทั้ง B2C, B2B, Export และบริการ และ3.สร้าง Key Agents ตัวแทนหลักเพื่อการส่งออกที่ต่อเนื่องและแข็งแรง เป็น Role Model (แบบอย่าง) ในการสร้างรายได้ในอนาคต ในกลุ่มลูกค้า Export
นอกจากนี้ ในปี 2564 บริษัทจะมีการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจใหม่ อย่างธุรกิจการเงินและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผ่านการซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท แคปปิตอล ลิ้งค์ อุดรธานี จำกัด (CLU) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมขออนุมัติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 22 เมษายน 2564 และคาดกระบวนการเข้าซื้อดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในเดือนพฤษภาคม 2564 ซึ่งงบการเงินของ CLU จะถูกบันทึกในงบรวมของ KOOL ทันทีหลังกระบวนการเข้าซื้อเสร็จสิ้น
ทั้งนี้ บริษัทมองเห็นถึงศักยภาพของ CLU ที่มีบริษัทย่อย จำนวน 5 บริษัท ประกอบ 2 ธุรกิจหลัก คือธุรกิจทางด้านการเงินและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต อย่างไรก็ตาม การลงทุนในธุรกิจใหม่นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเติบโตของ KOOL
นายนพชัย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2564 ตนได้โอนหุ้นสามัญ จำนวน 15 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 3.125% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ให้กับมารดา (แม่) ส่งผลให้ตนเหลือหุ้น จำนวน 88,411,354 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 18.419% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จากเดิมที่ถือหุ้นจำนวน 103,411,354 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 21.544%