PTTGC คาดผลงาน Q1/64 สดใส รับศก.ฟื้น แย้มเดินหน้า M&A ต่อเนื่อง หวังต่อยอดธุรกิจ
PTTGC คาดผลงาน Q1/64 สดใส รับศก.ฟื้น แย้มเดินหน้า M&A ต่อเนื่อง หวังต่อยอดธุรกิจ
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนเข้าลงทุนเพื่อเข้าซื้อกิจการ (M&A) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรต่างประเทศ ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับ high-performance polymers และธุรกิจ Flooring Adhesive ซึ่งถือเป็นบริษัทระดับโลก (Global Company) เพื่อเข้ามาต่อยอดธุรกิจเดิมให้เติบโตมากขึ้น คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้
ทั้งนี้ ล่าสุด บริษัทฯได้เข้าลงทุนเพิ่มเติมในบมจ.วีนิไทย (VNT) และจะดำเนินการเพิกถอนหลักทรัพย์ของ VNT ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้ทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของ VNT (โดยไม่รวมหุ้นสามัญของ VNT ที่บริษัทฯ ถืออยู่) เป็นจำนวน 889,154,755 หุ้น หรือคิดเป็น 75.02% ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของ VNT เพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ของ VNT จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 39 บาท คาดว่าจะดำเนินการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ได้ในไตรมาส 3/64 และจะใช้เงินทั้งหมดกว่า 7,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ หาก VNT สามารถดำเนินการเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สำเร็จ บริษัทฯ และ AGC Inc. มีแผนที่จะสนับสนุนการควบบริษัทระหว่าง VNT กับบริษัท ไทยอาซาฮีเคมีภัณฑ์ จำกัด (AGC-TH) (ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ AGC Inc. ถือหุ้นทั้งหมด) เกิดเป็นบริษัทใหม่ ตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 (รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม) โดยจะใช้เงินลงทุนรวม ทั้งการทำ Tender Offer และจัดตั้งบริษัทใหม่ไม่เกิน 10,000 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจากเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และการออกหุ้นกู้ในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามการลงทุนในครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อการเติบโต พร้อมขยายฐาน สร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจปลายน้ำ ของ PTTGC และพร้อมต่อยอดไปสู่ธุรกิจในส่วนของผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์คลอร์-อัลคาไล หรือโซดาไฟ (Chlor-Alkali) และธุรกิจ PVC ซึ่งมีอัตราการเติบโตในระดับที่สูง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าในธุรกิจสายโอเลฟินส์ให้กับ PTTGC อีกทั้งจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถขยายตลาดทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถรับรู้ผลการดำเนินงานจากการลงทุนดังกล่าวได้ในปี 65 เป็นต้นไป
พร้อมกันนี้การลงทุนใน VNT ดังกล่าวจะช่วยให้ VNT สามารถขยายกำลังการผลิตเอทิลีนเพิ่มเป็นสองเท่า หรือราว 380,000 ตันต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 190,000 ตันต่อปี
ส่วนการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการลงทุนในโรงงานผลิต PA9T-HSBC ซึ่งผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 65 โดยปัจจุบันมีความคืบหน้าของดำเนินงานไปแล้วครึ่งหนึ่ง, โครงการ OMP มูลค่า 160 ล้านเหรียญฯ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของวัตถุดิบ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จได้ประมาณ 2 ปี
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/64 บริษัทฯ คาดว่าจะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นไปตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น และราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันที่ดีขึ้นด้วย ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 2/64 ก็คาดว่า มาร์จิ้นหลายตัวก็ดีขึ้น ตามความต้องการใชผลิตภัณฑ์ที่มากกว่าปีก่อน
โดยในปี 2564 บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายยอดขายเติบโตไม่น้อยกว่า 8% จากปีก่อน เป็นไปตามกำลังการผลิตใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาราว 8-10% จากโครงการ Olefins Reconfiguration Project : ORP กำลังการผลิตเอทิลีน 500,000 ตันต่อปี และโพรพิลีน กำลังการผลิต 250,000 ตันต่อปี ซึ่งจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 1/64, โครงการ Propylene Oxide (PO) และโครงการผลิตสารโพลีออลส์ (Polyols) ที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปแล้วในเดือน ธ.ค.63
ด้านราคาผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น อะโรเมติกส์, โอเลฟินส์ และ ปิโตรเลียม มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2/63 และไตรมาส 3/63 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลง
ส่วนราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีให้ปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย และบริษัทมีสต็อกน้ำมันในช่วงปลายปีก่อนที่ระดับราคา 50 เหรียญฯ/บาร์เรล หากปลายปีนี้ราคาน้ำมันสูงกว่าระดับดังกล่าวก็จะทำให้ PTTGC มีกำไรจากการสต็อกน้ำมัน จากปีก่อนมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันราว 7,000-8,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทฯ ได้ทำเฮดจิ้งน้ำมันเอาไว้ 100% แล้ว
“เรามองว่าครึ่งปีแรกนี้มาร์จิ้นผลิตภัณฑ์โดยรวมดีขึ้น แต่ในครึ่งปีหลังน่าจะลดลง จากอะโรเมติกส์ ยังเกินความต้องการอยู่ รวมถึงกำลังการผลิตโลกที่ล้นตลาด ก็อาจจะส่งผลต่อมาร์จินของโรงกลั่นลดลง”
สำหรับความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในสหรัฐฯ ปัจจุบันบริษัทก็ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรหลายรายใน 3 ทวีปหลักของโลกที่สนใจเข้าร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว คาดว่าจะสรุปการลงทุนขั้นสุดท้ายได้ภายในกลางปี 2564