STGT บวกสวนตลาด! วิ่ง 4% เก็งกำไรก่อน XD ปันผล 2 บ. ลุ้นกำไรไตรมาส 1 โตกระฉูด
STGT บวกสวนตลาด! วิ่ง 4% เก็งกำไรก่อน XD ปันผล 2 บ. ลุ้นกำไรไตรมาส 1 โตกระฉูด ล่าสุดอยู่ที่ 43.75 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 4.17% มูลค่าซื้อขาย 1.66 พันล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ล่าสุด ณ เวลา 10.15 น. อยู่ที่ 43.75 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 4.17% สูงสุดที่ 44.50 บาท ต่ำสุดที่ 43.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1.66 พันล้านบาท
โดยราคาหุ้น STGT ปรับตัวขึ้น ตอบรับจากปัจจัยบวกหลังจาก นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ STGT เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดให้คณะนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์เข้าชมความคืบหน้าการก่อสร้างและเตรียมพร้อมเดินเครื่องจักรโรงงานผลิตถุงมือยางในจังหวัดสุราษฎร์ธานี (SR) เพื่อให้ความมั่นใจว่าการขยายกำลังการผลิตของบริษัทเป็นไปอย่างต่อเนื่องตามแผนงานที่วางไว้ โดยมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตเป็นประมาณ 1 แสนล้านชิ้นต่อปี ภายในปี 2569
ขณะที่ความคืบหน้าโรงงาน SR2 จะพร้อมกลับมาเดินเครื่องจักรอีกครั้งภายในเดือนพฤษภาคมนี้ หลังจากที่หยุดการผลิตไว้ชั่วคราวจากเหตุเพลิงไหม้ก่อนหน้า 2564 นี้ ส่วนโรงงาน SR3 ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างนั้น มีความคืบหน้าตามแผนงาน มั่นใจว่าจะเริ่มเดินเครื่องจักรได้ภายในไตรมาส 2/2564
ทั้งนี้ โรงงาน SR2 และ SR3 เป็นโรงงานผลิตถุงมือยางที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยของ STGT และทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สามารถเดินเครื่องจักรด้วยความเร็วสูงและผลิตสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเข้ามาเสริมศักยภาพการผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการใช้ถุงมือยางจากทั่วโลก ตลอดจนผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและรักษาตำแหน่งผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ของโลก
นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่อีก 2 แห่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โรงงานแห่งใหม่ในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องได้ภายในไตรมาส 3/2564 และโรงงานแห่งใหม่ในจังหวัดตรัง คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องจักรได้ภายในไตรมาส 4/2564 ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นเป็น 36,000 ล้านชิ้นต่อปีในปี 2564 จากเดิมที่มีกำลังการผลิต 33,000 ล้านชิ้นปีในปี 2563 รวมถึงสนับสนุนแผนงานขยายกำลังการผลิตระยะยาวเป็นประมาณ 100,000 ล้านชิ้นต่อปี ภายในปี 2569
นอกจากนี้ บล.โนมูระ พัฒนสิน ประเมินว่า STGT ในไตรมาส 1/2564 จะมีกำไรสุทธิ 10,421 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,369% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 22% จากไตรมาสก่อน เพราะยอดขายเพิ่มขึ้น (ปริมาณขายเพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคงที่จากไตรมาสก่อน รวมถึงราคาขายเพิ่มขึ้น) คาดอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin : GPM) ยังคงเพิ่มขึ้นตามราคาขาย ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร (SG&A) เพิ่มขึ้นเพราะค่าใช้จ่ายในการขนส่งเพิ่มขึ้น
ขณะที่คาดยอดขายในไตรมาส 1/2564 เติบโต 20% จากไตรมาสก่อน เพราะคาดราคาขายเพิ่มขึ้น 20-30% จากไตรมาสก่อน ส่วนปัญหาคลองสุเอซเกิดขึ้นกับสินค้าของ STGT บ้าง แต่เนื่องจากเป็นการขายแบบ FOB จึงไม่กระทบยอดขายของ STGT ในไตรมาส 1/2564 อีกทั้งคาดแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 8,822 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 735% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 15% จากไตรมาสก่อน โดย แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 47 บาท/หุ้น
ส่วนทางด้าน บล. ทรีนีตี้ ประเมินว่า แนวโน้มในไตรมาส 1/2564 ของ STGT จะมีกำไรสูงถึง 10,000 ล้านบาท หรือโตกว่า 23 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยราคาขายในไตรมาส 1/2564 ปรับเพิ่มขึ้นมาอีกกว่า 20% จากไตรมาส 4/2563 และเชื่อว่าราคาขายจะยังทรงตัวในระดับกล่าวในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 ในขณะที่ต้นทุนขายในไตรมาส 1/2564 น่าจะเพิ่มขึ้นราว 10% ทำให้มาร์จิ้นในไตรมาส 1/2564 น่าจะดีกว่าไตรมาส 4/2563 ค่อนข้างมาก
ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” หุ้น STGT ราคาเป้าหมาย 54 บาท/หุ้น พร้อมจะมีการจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 2 บาท โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD (วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล) วันที่ 12 เมษายน 2564 คิดเป็นอัตราผลตอบแทนของเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ที่ 4%
อีกทั้ง บล.เคทีบีเอสที ประเมินว่าในปี 2564 จะมีกำไรสุทธิ 35,582 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 147% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14,401 ล้านบาท จากทิศทางราคาขายถุงมือยางในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ยังคงปรับตัวขึ้นต่อ โดยในไตรมาส 1/2564 คาดราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาสก่อน (ไตรมาส 4/2563 อยู่ที่ 1.91 บาทต่อชิ้น) นอกจากนี้ไตรมาส 2/2564 คาดราคาขายจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 5% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากได้รับอานิสงส์หลังประเทศสหรัฐแบนถุงมือยางบริษัท Top Glove ประเทศมาเลเซีย แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 58 บาท/หุ้น