ทริส คงอันดับเครดิต NMG ที่ “BBB+” ปรับแนวโน้มเป็น Stable จาก Positive
ทริส คงอันดับเครดิต NMG ที่ "BBB+" ปรับแนวโน้มเป็น Stable จาก Positive
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG ที่ระดับ “BBB+” และปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Positive” หรือ “บวก” ซึ่งสะท้อนมุมมองของทริสเรทติ้งว่า บริษัทจะใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ในการที่จะได้รับประโยชน์จากธุรกิจดิจิตอลทีวี
อันดับเครดิตสะท้อนถึงชื่อเสียงของ NMG ในฐานะผู้ให้บริการด้านข่าวสารผ่านสื่อหลากหลายประเภท ตลอดจนสถานะที่แข็งแกร่งของสื่อหนังสือพิมพ์ของบริษัท และสภาพคล่องที่ดี อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความผันผวนของอุตสาหกรรมโฆษณาที่เป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท ตลอดจนการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจดิจิตอลทีวี และความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงของบริษัท
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะผู้นำในการให้บริการด้านข่าวสารผ่านทางสื่อหลากหลายประเภทและมีสถานะการเงินที่แข็งแรงต่อไปได้ ทั้งนี้ อันดับเครดิตมีโอกาสที่จะถูกปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทมีผลประกอบการที่ดีกว่าที่คาดหมายและมีเงินทุนจากการดำเนินงานเพิ่มสูงขึ้นจากระดับปัจจุบันมาก อันดับเครดิตของบริษัทมีโอกาสที่จะถูกปรับลดลงในกรณีที่การแข่งขันในธุรกิจดิจิตอลทีวีทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นหรือหากผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง
NMG หรือเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “เนชั่นกรุ๊ป” เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านสื่อในระดับแนวหน้าของไทย บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา โดย ณ เดือนพฤษภาคม 2558 ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทประกอบด้วย บมจ.นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น(NEWS) (12.21%) นายสุทธิชัย แซ่หยุ่น (10.01%) นายศิร์วสิษฎ์ สายน้ำผึ้ง (9.14%) และ บริษัท โพลาริส แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) (7.54%) ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งจะติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นดังกล่าวว่าจะมีผลกระทบต่อทิศทางในการดำเนินธุรกิจหรือผู้บริหารสำคัญของบริษัทหรือไม่เพียงใด ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนคุณภาพเครดิตของบริษัท
ธุรกิจของบริษัทประกอบด้วย สื่อหนังสือพิมพ์ สื่อกระจายเสียงและแพร่ภาพ สาระบันเทิง การศึกษา การพิมพ์ และขนส่ง ธุรกิจหลักของบริษัทได้แก่ธุรกิจสื่อหนังสือพิมพ์และธุรกิจสื่อกระจายเสียงและแพร่ภาพซึ่งสร้างรายได้ 45% และ 40% ของรายได้รวมของบริษัทในช่วงครึ่งแรกของปี 2558 และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 31% และ 45% ตามลำดับ
รายได้ค่าโฆษณาในสื่อหนังสือพิมพ์และดิจิตอลทีวีถือเป็นรายได้หลักของบริษัท โดยทั่วไปแล้ว งบโฆษณาสำหรับทุกสื่อจะแปรผันไปตามภาวะเศรษฐกิจ ปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาคครัวเรือนส่งผลกระทบต่อการบริโภคของภาคครัวเรือนและงบโฆษณา ทั้งนี้ ข้อมูลของสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทยระบุว่างบโฆษณารวมในสื่อทุกประเภทลดลง 11% ในปี 2557 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2558 นั้น งบโฆษณารวมในสื่อทุกประเภทปรับเพิ่