“ฟินันเซีย” เชียร์ซื้อ EKH เป้า 8.40 บ. มองกำไรไตรมาส 2 โตเด่น หนุนทั้งปีทะลุ 100 ลบ.
“ฟินันเซีย” เชียร์ซื้อ EKH เป้า 8.40 บ. มองกำไรไตรมาส 2 โตเด่น หนุนทั้งปีทะลุ 100 ลบ.
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำเกี่ยวกับ หุ้นบริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) หรือ EKH โดยคาดกำไรปกติไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 27 ล้านบาท ลดลง 40.5 จากไตรมาสก่อน, แต่เพิ่มขึ้น 138.8% เทียบกับปีก่อน ซึ่งมาจากรายได้ฟื้นตัวแข็งแกร่ง +4.6% จากไตรมาสก่อน, +10% จากปีก่อน จากผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น จากการระบาดของ COVID-19 ระลอก 2 ตั้งแต่ปลายเดือน ธ.ค.63 ต่อเนื่องเดือน ม.ค.64
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นการระบาดหนักในพื้นที่สมุทรสาครซึ่งเป็นที่ตั้ง ของ EKH ทำให้ต้องมีการช่วยเหลือและร่วมมือกับภาครัฐอย่างเต็มที่ทั้งการตรวจคัด กรองเชิงรุกในโรงงานต่างๆ ซึ่งทำให้ระยะสั้นมีแรงกดดันในด้านของอัตรากำไร โดยคาด Gross Margin จะลดลงอย่างมีนัยยะเหลือ 31% ในไตรมาส 1/64 จาก 40.4% ในไตรมาส 4/63 และทรงตัวใกล้เคียงช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 30.4% ส่งผลให้ในแง่กำไรชะลอตัวจากไตรมาสก่อน อย่างไรก็ตามยังสามารถฟื้นตัวแรงจากปีก่อนจากฐานที่ต่ำในปีก่อนจาก COVID-19 ระลอกแรกและโดยลูกค้า IVF ที่ได้รับผลกระทบ
ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 2/64 จะเร่งขึ้นอย่างมีนัยยะจาก COVID-19 ระลอก 3 อย่างไรก็ตามคาดว่าการระบาดระลอกที่ 3 ของ COVID-19 แตกต่างจากไตรมาส 1/64 เนื่องจากระบาดเป็นวงกว้างและแพร่กระจายเร็ว ทำให้เกิดความกังวลของประชาชน และเข้ามาใช้บริการตรวจเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ
รวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่สูงกว่า 2 พันราย ทำให้มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยล่าสุดตรวจเชื้อ COVID-19 ไปแล้วกว่า 4,000 พันเคส และรับเป็นผู้ป่วยในแล้วกว่า 200 เคส และทำให้ Utilization Rate ปรับตัวขึ้นทะลุ 100% ในบางช่วงเวลา หนุนรายได้ในเดือน เม.ย. เติบโตอย่างก้าวกระโดด
ขณะที่ Margin คาดว่าจะเร่งตัวขึ้น เบื้องต้นคาดว่ากำไรไตรมาส 2/64 กลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งจากไตรมาสก่นอ และปีก่อน ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังคาดมีแรงหนุนจากการให้บริการฉีดวัคซีน COVID-19 ทางเลือก
อย่างไรก็ตาม ปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2565 สะท้อนการฟื้นตัวที่ชัดขึ้น โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” และยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2564 ของ EKH ที่ 117 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% จากปีก่อน และคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างมีนัยยะเป็น 153 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.9% จากปีก่อน ในปี 2565 เข้าใกล้ระดับสูงสุดที่เคยทำได้ในปี 2562 โดยได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศและลูกค้า IVF จากจีนที่คาดว่าจะทยอยกลับเข้าใช้บริการ จึงปรับใช้ราคาเป้าหมายเป็นปี 2565 ที่ 8.40 บาท และแนะนำ “ซื้อ”