ลุ้น SET เดือนพ.ค. ทะลุ 1,600 จุด โบรกฯ คัด 10 หุ้นแนวโน้มกำไร Q1 โตเด่น

2 โบรกฯ ประเมินดัชนี SET เดือนพ.ค.2564 ทะลุ 1,600 จุด คัด 10 หุ้นแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/64 โตเด่น จับตาบจ.ประกาศงบไตรมาส 1/64 สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19  การฉีดและกระจายวัคซีนโควิด


เริ่มเข้าสู่การลงทุนในช่วงเดือนพ.ค.2564 ทีมข่าว ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมกลยุทธ์การลงทุนพร้อมปัจจัยที่ต้องจับตาในการลงทุนมานำเสนอ โดยอาศัยบทวิเคราะห์จากบล.เอเชีย เวลท์ และบล.เอเซีย พลัส ซึ่งได้วิเคราะห์ไว้ดังนี้

บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย เวลท์ จำกัด หรือ บล.เอเชีย เวลท์ ระบุถึงกลยุทธ์การลงทุนในเดือน พฤษภาคม 2564 ว่า บล.เอเชีย เวลท์ ประเมินกรอบ SET ในเดือน พ.ค. 2564 ไว้ที่ 1,500-1,620 จุด โดย SET จะยังผัจะยังผันผวน จากแรงเก็งกำไรหุ้นที่ถูกคาดหมายผลประกอบการไตรมาส 1/64 เติบโตโดดเด่น ซึ่งจะมีการทยอยประกาศผลประกอบการในช่วงต้น พ.ค. ทำให้การลงทุนต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรลักษณะ Sell on Fact รวมไปถึงการขึ้นเครื่องหมาย XD ของหลายบริษัทในช่วง 2 สัปดาห์แรกของ พ.ค. จะเป็นปัจจัยที่ทาให้ตลาดมีความผันผวน

ขณะที่ปัจจัยที่ยังคงต้องติดตามยังคงอยู่ที่สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก โดยเฉพาะในญี่ปุ่น และ อินเดีย ระยะสั้นกลับมามีมุมมองเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มGlobal play (ตาม Core Investment ที่เราแนะนา) หลัง OPEC ยังคงเชื่อมั่นต่อการเติบโตของ Demand น้ำมันดิบในปี 2564 รวมไปถึงการรายงานตัวเลขทางด้านเศรษฐกิจทั่วโลกที่แข็งแกร่ง ช่วงปลายเดือน

ทั้งนี้เชื่อว่าจะมีแรงซื้อกลับจากปัจจัยบวก (1) สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเริ่มคลี่คลาย เชื่อว่าตลาดจะกลับมาให้น้าหนักหุ้นในกลุ่มที่ถูกคาดหมายว่าจะได้ประโยชน์จากการกลับมาเปิดประเทศ ที่เราเคยแนะนาก่อนหน้านี้ ได้แก่ หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว (การบินและโรงแรม) หุ้นในกลุ่มอุปโภคบริโภค และหุ้นในกลุ่มค้าปลีก และการเปิดเผยรายงานการประชุมเฟดในเดือน เม.ย. (20 พ.ค.) โดยเชื่อว่าจะกลับมาเป็น Sentiment เชิงบวกต่อตลาดอีกครั้ง ดังนั้นจึงเลือกหุ้นเด่นในเดือนพ.ค. 2564 ได้แก่ BPP SONIC และ NOBLE

บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP เบื้องต้นประเมินว่ากำไรสุทธิไตมาส 1/64 จะอยู่ในกรอบ 1-1.1 พันล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากผลของต้นทุนผลิตที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาถ่านหินที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ยังคงเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากปีก่อน จากกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น จากการทยอยรับรู้กำลังผลิตใหม่ในรอบปีที่ผ่านมา

ส่วนแนวโน้มไตรมสาส 2/64 ยังมีโอกาสเห็นผลประกอบการปรับเพิ่มขึ้นทั้งเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบจากปีก่อน จากการรับรู้รายได้จากโครงการ Nakoso IGCC (เริ่มรับรู้ เม.ย. 2564) และโรงไฟฟ้าหงสา ที่คาดว่าจะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากประสิทธิภาพของการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น หลังผ่านการหยุดซ่อมใหญ่ในช่วงกลางปี 2563 ที่ผ่านมา ยังคงมุมมองเชิงบวก และเลือกหุ้น BPP เป็น Top Pick ในกลุ่มผลิตไฟฟ้า ประเมินราคาเป้าหมายที่ 21.80 บาท/หุ้น

บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด (มหาชน) หรือ SONIC  คาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 1/64 ของทาง SONIC จะทำ All Time High ใหม่เป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน รวมทั้งคาดว่าผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปี 64 จะยังเติบโตต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขที่ทาง IMF มีการปรับประมาณการ GDP ของโลกในปี 2564 ขึ้นเป็น 6% (เดิม 5.5%)

รวมทั้งบริษัทยังได้รัปัจจัยบวกจากการที่ตู้คอนเทนเนอร์ยังขาดแคลน แต่จากความชำนาญของบริษัท ทำให้บริษัทยังสามารถหาตู้คอนเทนเนอร์เพื่อให้บริการลูกค้าได้ นอกจากนี้บริษัทยังมี Upsides จากแผน M&A ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปี 2564 ทำให้เชื่อว่าปี 2564 ยังเป็นปีทองของบริษัท ประเมินราคาเป้าหมายที่ 4.20 บาท/หุ้น

บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE มีมุมมองเป็นบวกต่อผลประกอบการในไตรมาส 1/64 ที่คาดว่าบริษัทจะมีกำไรอยู่ที่ 453 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบจากปีก่อน ซึ่งมาจากการโอนโครงการต่อเนื่องจากไตรมาส 4/63 และโครงการที่แล้วเสร็จใหม่ 1 โครงการ ได้แก่ Noble Ambience สุขุมวิท ซึ่งทยอยโอนในช่วง มี.ค. 2564

ขณะที่คาดว่าผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปี 2564 จะทยอยฟื้นตัวขึ้นตามลาดับ ประกอบกับแผนการเติบโตของรายได้ในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะมีการยกฐานของรายได้เพิ่มขึ้น หลังบริษัทมีแผนที่จะเปิด 11 โครงการในปี 2564 ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงปี 2565-2566 นอกจากนี้เรายังมองว่าบริษัทยังมี Upsides จากแผนการลงทุนในอสังหาฯ ในต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 2564 รวมทั้งบริษัทยังมีจุดเด่นในแง่ของเงินปันผลที่สูง ซึ่งปี 2564 คาดไว้ที่ 0.82 บาทต่อหุ้น ทำให้ยังแนะนา “ซื้อ” ประเมินราคาเป้าหมายที่ 9.90 บาท/หุ้น

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส หรือ บล.เอเซีย พลัส ระบุถึงกลยุทธ์การลงทุนในเดือนพ.ค.2564 ว่า มาตรการภาครัฐที่ออกมาป้องกันการแพร่ระบาด บวกกับเยียวยาผลกระทบ หนุนสถานการณ์ระบาด Covid-19 คลายตัวลง และน่าจะเห็นได้ชัดเจนขึ้น หลังมีการกระจายตัวของวัคซีนในวงกว้างตามการร่วมมือของทางภาครัฐและเอกชน ช่วงครั้งปีหลักงปี 2564

ขณะที่ประเทศหัวเรือหลักทางเศรษฐกิจโลก สหรัฐฯ จีน ยุโรป สามารถรับมือ COVID-19 รอบนี้ได้ดี ส่งผลเศรษฐกิจไทยมี Downside จำกัด สภาพคล่องในระบบการเงินที่มีอยู่จำนวนมาก ยังมีปัจจัยสนับสนุนให้ไหลเข้าหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น ในตลาดหุ้นไทย คือ 1) เห็น Momentum ของการ Search For Yield จากมูลค่าซื้อขายหุ้นต่อวันที่อยู่ในระดับสูงราว 1 แสนล้านบาท พร้อมกับการเร่งตัวของการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นใหม่มากกว่า 2 แสนบัญชีต่อเดือน

รวมทั้ง 2) ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ดีราคาและหุ้น Community ทที่เป็นสัดส่วนกำไรหลักในหุ้นไทยถึง 1 ใน 3 รวมทั้งนักลงทุนยังมีโอกาสได้ Fx Gain จากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่ม และ 3) กระแสการขึ้นภาษีนิติบุคคลฝั่งสหรัฐฯ น่าจะหนุนให้ Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียรวมถึงไทยมากขึ้น ดังนั้น การที่ SET Index ย่อตัวลงมาน่าจะเป็นโอกาสในการสะสม

ส่วนมุมมองกำไรบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 1/64 ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าสดใส และไม่น่าผิดหวังเหมือนกับในอดีต หนุนให้เกิดการลงทุนเพิ่มมากกว่าขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากฐานกำไรไตรมาส 1/63 ต่ำาสุดในรอบ 12 ปี เพียง 9.1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น บวกกับเบื้องต้นนักวิเคราะห์พื้นฐาน ASPS ได้ทำ Earning Preview ไตรมาส 1/64 รวมถึง RealSector ทยอยประกาศออกมาดีกว่าคาด น่าจะหนุนให้กำไรงวดไตรมาส 1/64 ยืนระดับ 2 แสนล้านบาทได้ จนทำให้นักวิเคราะห์อยู่ระหว่างทบทวนปรับเพิ่มประมาณการทั้งปีหลายบริษัท

เช่นเดียวกับทาง Consensus ที่ปรับ EPS ปี 2564 ตลอดขึ้นเนื่องจาก ล่าสุดอยู่ที่  81.15 บาท/หุ้น (นับตั้งแต่ต้นปีเพิ่มขึ้น มา 5 บาท/หุ้น) ฝ่ายวิจัยฯ เองอยู่ระหว่างทบทวนและปรับประมาณการขึ้นเช่นกัน หนุนดัชนีเป้าหมายมีโอกาสปรับขึ้นจากเดิมที่ 1,670 จุด โดยล่าสุดมีกำไรบริษัทจดทะเบียนอยู่ที่ 8.2 แสนล้านบาท และ EPS ปี 2564 ขยับขึ้นเหนือ 72 บาท/หุ้น เติบโตเกิน 32% (กระบวนการปรับจะเสร็จสมบูรณ์หลังประกาศงบไตรมาส 1/64 จบช่วงกลาง พ.ค.2564) ซึ่งในอดีตปีไหนที่กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตเกิน 30% SET Index มีโอกาสปรับตัวขึ้นเกิน 20%

อีกทั้งหากพิจารณาความถูกแพงของ SET Index ณ ปัจจุบัน ที่ 1,600 จุด มีการซื้อขายบน Market Earning Yield Cap ที่ระดับ 4% คิดเป็นระดับ Percentile ที่ 53% หรือยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 3.90% แสดงว่าดัชนียังอยู่ในระดับที่น่าลงทุน

ดังนั้นกลยุทธ์เดือน พ.ค.2564 แนะนำ 7 หุ้นมีโอกาส Outperform ตลาดสูง คือ SCC, PTTGC, MTC, ASK, MCS กำไรฟื้นเด่นในปีนี้ รวมถึงงวดไตรมาส 1/64 และ ADVANC, AS เป็นหุ้นช่วยลดความผันผวนจากปัญหา COVID-19

Back to top button