“ทริสฯ” คงเรตติ้งองค์กร-หุ้นกู้ PSH ที่ “A” สะท้อนธุรกิจ-รายได้บ.ลูกแข็งแกร่ง

"ทริสฯ" คงเรตติ้งองค์กร-หุ้นกู้ PSH ที่ "A" สะท้อนธุรกิจ-รายได้บ.ลูกแข็งแกร่ง


ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้มีการค้ำประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH ที่ระดับ A ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ A ด้วยเช่นกัน โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการค้ำประกันอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่อาจเพิกถอนได้

โดย บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้งที่ระดับ A ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ ทั้งนี้ หุ้นกู้มีการค้ำประกันดังกล่าวมีสิทธิเท่าเทียมกันกับหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท ในการนี้ บริษัทตั้งใจจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ดังกล่าวไปใช้ทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในปลายเดือนพฤษภาคม 2564

ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงคุณภาพเครดิตของบริษัทในฐานะที่เป็นบริษัทโฮลดิ้งของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท ซึ่งบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 98.23% นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงรายได้จากเงินปันผลที่บริษัทได้รับจากบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตทซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่สำคัญของกลุ่มตาม เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจของทริสเรทติ้งอีกด้วย

โดยอันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการรายใหญ่ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยที่ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท นั้นมาจากการมีสินค้าที่ค่อนข้างหลากหลาย ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน และยอดขายรอการส่งมอบจำนวนมากที่ช่วยสนับสนุนรายได้ของบริษัทในอนาคตได้ส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของกลุ่มบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลาง ตลอดจนความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ยืดเยื้อซึ่งสร้างแรงกดดันต่อความต้องการที่อยู่อาศัยและความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นอีกด้วย

อนึ่ง บริษัทเป็นผู้นำในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับราคาต่ำถึงปานกลาง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่รุนแรงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลต่อผลการดำเนินงานและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในปี 2563 โดยยอดขายของบริษัทลดลง 38% จากปีก่อนเป็น 2.2 หมื่นล้านบาทในปี 2563 และรายได้จากการดำเนินงานรวมลดลง 26% จากปีก่อนเป็น 2.95 หมื่นล้านบาทในปี 2563 ฐานรายได้ที่ลดลงประกอบกับค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงขึ้นและต้นทุนในการดำเนินงานคงที่ของโรงงานผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลง ทั้งนี้ อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลงเป็น 17% ในปี 2563 จาก 21% ในปี 2562 และ 20% ในปี 2561 ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิของบริษัทก็ลดลงเป็น 9% ของรายได้จากการดำเนินงานรวมในปี 2563 จาก 12%-13% ในช่วงปี 2559-2562

อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งมองว่ารายได้และกำไรจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของกลุ่มบริษัทต่อไปในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ยังคาดว่ารายได้จากธุรกิจโรงพยาบาลของโรงพยาบาลวิมุตซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการในกลางปี 2564 และส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในโรงพยาบาลเทพธารินทร์ซึ่งบริษัทได้เข้าถือหุ้น 51% ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564 จะมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับกำไรรวมของกลุ่มบริษัท อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าใน

โดยช่วงแรกของการดำเนินงานของโรงพยาบาลวิมุตจะมีผลขาดทุนเกิดขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าผลขาดทุนดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานรวมของกลุ่มบริษัท

อย่างไรก็ตาม ณ เดือนมีนาคม 2564 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยระหว่างการพัฒนาประมาณ 200 โครงการซึ่งมีมูลค่าเหลือขายรวม 8.12 หมื่นล้านบาท (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) โดยโครงการบ้านจัดสรรคิดเป็น 80% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมด ที่เหลือเป็นโครงการคอนโดมิเนียม เนื่องจากยอดขายคอนโดมิเนียมลดลง ทำให้ยอดขายรอการรับรู้รายได้ของบริษัท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 เหลือเพียง 2.2 หมื่นล้านบาทซึ่งต่ำกว่าในอดีต

ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะส่งมอบยอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่า 1 หมื่นล้านบาทให้แก่ลูกค้าในช่วงที่เหลือของปี 2564 มูลค่า 1.07 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และที่เหลือในปี 2566-2567 ยอดขายรอการรับรู้รายได้เหล่านี้จะช่วยประกันรายได้ส่วนหนึ่งในอนาคตให้แก่บริษัทในช่วงที่สภาวะทางเศรษฐกิจชะลอตัว

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะคงนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวัง แม้ว่าบริษัทจะมีแผนขยายธุรกิจแต่ก็คาดว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทให้ต่ำกว่า 50% ได้ โดย ณ เดือนธันวาคม 2563 อัตราส่วนดังกล่าวเท่ากับ 37%

โดยจากงบการเงินรวมของบริษัทพฤกษา โฮลดิ้ง ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ เดือนธันวาคม 2563 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดจำนวน 1.3 พันล้านบาท วงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่สามารถยกเลิกได้จำนวน 6.8 พันล้านบาท และวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้แต่สามารถยกเลิกได้จำนวน 1.73 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ 4-4.5 พันล้านบาท บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 9 พันล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 6.8 พันล้านบาท เงินกู้ระยะสั้นจำนวน 1.5 พันล้านบาท ตั๋วสัญญาใช้เงินค่าที่ดินจำนวน 0.5 พันล้านบาท และเงินกู้ระยะยาวจำนวน 0.2 พันล้านบาท

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานตามที่คาดการณ์เอาไว้ได้ อีกทั้งยังคาดว่าบริษัทย่อยจะสามารถส่งมอบยอดขายที่อยู่อาศัยที่รอรับรู้รายได้ได้ตามแผน แม้ว่าความต้องการที่อยู่อาศัยจะชะลอตัวซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ยืดเยื้อ ทริสเรทติ้งก็ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินให้อยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 15% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้ต่ำกว่า 50% เอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตของบริษัทจะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของกลุ่มบริษัท หากการลงทุนในธุรกิจใหม่ประสบผลสำเร็จก็จะส่งผลดีต่ออันดับเครดิต ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท แตกต่างไปจากที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ และ/หรือผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงพยาบาลฉุดให้สถานะทางการเงินของกลุ่มบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

– เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564

– วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

– อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ (PSH)

อันดับเครดิตองค์กร:             A

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

PSH215A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 4,750 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564  A

PSH223A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565  A

PSH225A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565  A

PSH22NA: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 A

PSH22NB: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565    A

PSH235A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 750 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566     A

PSH23NA: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A

PSH24NA: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A

หุ้นกู้มีการค้ำประกันในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี      A

แนวโน้มอันดับเครดิต:          Stable

Back to top button