SSI หนี้อ่วม! ปิดโรงงานถลุงเหล็กในอังกฤษ

SSI แจ้งการหยุดผลิตเหล็กแท่งแบนช่วงคราวที่โรงงานเอสเอสไอที่ไซด์ของธุรกิจโรงถลุงเหล็ก ในประเทศอังกฤษ พร้อม ขอตลท.หยุดพักการซื้อขายชั่วคราว


บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI ระบุว่า บริษัทแจ้งการหยุดผลิตเหล็กแท่งแบนช่วงคราวที่โรงงานเอสเอสไอที่ไซด์ของธุรกิจโรงถลุงเหล็ก ซึ่งดำเนินงานโดยบริษัท สหวิริยาสตีล ยูเค จำกัด (เอสเอสไอ ยูเค) โดยเอสเอสไอ ยูเค เป็นบริษัทย่อยที่บริษัท ถือหุ้นทั้งหมดร้อยละ 100 ระหว่างรอผลการหารือกับผู้มีส่วนได้เสีย เช่น รัฐบาลอังกฤษ คู่ค้า และสหภาพแรงงานในการให้ความร่วมมือลดต้นทุนการผลิตและหยุดผลขาดทุนของธุรกิจโรงถลุงเหล็ก

โดยการตัดสินใจหยุดผลิตเหล็กแท่งแบนชั่วคราวของธุรกิจโรงถลุงเหล็กครั้งนี้จะส่งผลต่อรายได้ของธุรกิจโรงถลุงเหล็กเฉพาะส่วนที่จำหน่ายให้กับบุคคลภายนอก (สัดส่วนดังกล่าวคิดเป็นร้อยละ 52 ของยอดขายรวมของกลุ่มบริษัทในงวด 6 เดือน ปี 2558) อย่างไรก็ตามจะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตของธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนของบริษัทเนื่องจากบริษัทยังมีวุตถุเหล็กแท่งแบสำรองอยู่ และสามารถจัดซื้อวัตถุดิบเหล็กแท่งแบนราคาถูกในตลาดได้

สำหรับการตัดสินใจหยุดการผลิตเหล็กแท่งแบนชั่วคราวดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและฐานะการเงินของกลุ่มบริษัทให้ดีขึ้น ตามที่บริษัทได้แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2558

ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถแจ้งความคืบหน้าการหารือดังกล่าวมายังตลาดหลักทรัพฯ ได้ภายในเดือนกันยายน 2558

ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขึ้นเครื่องหมาย H หลักทรัพย์บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI ในรอบเช้าของวันนี้ (21 ก.ย.) เนื่องจากภายในวันนี้บริษัทจะทำการเปิดเผยสารสนเทศสำคัญซึ่งอาจมีผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์จดทะเบียนของบริษัท

รวมถึงการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนของบริษัท โดยผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทั่วไป บริษัทจึงมีความประสงค์จะขอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระงับการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนของบริษัทเป็นการชั่วคราวในวันนี้ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทั่วไปได้รับทราบสารสนเทศสำคัญข้างต้นก่อนที่จะทำการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนของบริษัทต่อไป

โดยสืบเนื่องจากกรณีประเด็นข่าวของ SSI ที่ต้องปิดโรงงานถลุงเหล็กในประเทศอังกฤษ ซึ่งมีผลต่อเจ้าหนี้ที่ปล่อยกู้รายใหญ่ 3 ราย ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ,ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTB และบริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO

Back to top button