BGC บวก 5% รับกำไร Q1 สดใส แจกปันผล 0.13 บ. โบรกฯ ประเมินราคาพื้นฐาน 12 บ.
BGC บวก 5% รับกำไร Q1 สดใส แจกปันผล 0.13 บ. โบรกฯ ประเมินราคาพื้นฐาน 12 บ. ล่าสุดอยู่ที่ 9.95 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 5.29% มูลค่าซื้อขาย 29.25 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ล่าสุด ณ เวลา 15.17 น. อยู่ที่ 9.95 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 5.29% สูงสุดที่ 9.95 บาท ต่ำสุดที่ 9.45 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 29.25 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาหุ้น BGC ปรับตัวขึ้น คาดนักลงทุนเข้าซื้อขายเก็งกำไร หลังรายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/64 มีกำไร 182.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 161 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเตรียมปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.13 บาท/หุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 25 พ.ค.2564
โดย นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BGC เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจนและเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) บริษัทฯ ยังมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 3,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 3,016 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 182 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 161 ล้านบาท
สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในภาคธุรกิจต่าง ๆ อย่างชัดเจน ส่งผลให้ยอดขายจากกลุ่มบรรจุภัณฑ์แก้วที่เป็นสัดส่วนรายได้หลักปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์และกลุ่มอาหารในประเทศ ที่มียอดขายปรับตัวดีขึ้น
ส่วนต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบของราคาน้ำมัน บริษัทฯ ยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเพิ่มรูปแบบของพลังงานที่ใช้เพื่อกระจายความเสี่ยง และปรับเพิ่มสัดส่วนการใช้เศษแก้วเป็นวัตถุดิบในการหลอมมากขึ้นเพื่อลดการใช้พลังงาน รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมอุณหภูมิเตาหลอมแก้วได้ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงได้รับผลดีจากราคาโซดาแอช (Soda ash) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับผลิตแก้วที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง และราคาเศษแก้วที่ทรงตัว จากผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 ในอัตราหุ้นละ 0.13 บาท รวมเป็นเงิน 90 ล้านบาท เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ และจะจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 11 มิถุนายน 2564
ขณะเดียวกัน ด้วยการขยายตัวของยอดขายบรรจุภัณฑ์แก้วที่เพิ่มขึ้น ทำให้คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการลงทุนก่อสร้างเตาหลอมแก้วแห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งมีกำลังการผลิต 400 ตันต่อวัน ใช้งบลงทุน 1,600 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงินในประเทศ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 18 เดือน ทั้งนี้การเปิดเตาหลอมแก้วใหม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยรองรับการขยายตลาดบรรจุภัณฑ์แก้วทั้งในไทยและต่างประเทศ
สำหรับแนวโน้มความต้องการบรรจุภัณฑ์แก้วในช่วงไตรมาส 2/2564 ภาคธุรกิจต่างๆ อาจได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นบ้างจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เช่น การกำหนดระยะเวลาเปิด-ปิดร้านอาหาร แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงเท่ากับช่วงไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมา ที่มีการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์และมาตรการเคอร์ฟิว อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้ติดตามสถานการณ์ของลูกค้าอย่างใกล้ชิด และยังมั่นใจว่าจะสามารถทำผลการดำเนินงานไตรมาส 2 เติบโตดีกว่าเป้าหมาย
โดยนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 เป็นต้นไป บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าควบรวมกิจการ โดยการเข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด และบริษัท บางกอกบรรจุภัณฑ์ จำกัด ซึ่งทั้ง 2 บริษัทมีกำไรสุทธิในปีที่ผ่านมา 46 ล้านบาทและ 26 ล้านบาทตามลำดับ เพื่อยกระดับสู่การเป็น Total Packaging Solutions ที่สามารถนำเสนอบริการแบบครบวงจร (One stop service) ให้แก่ลูกค้าโดยครอบคลุมทั้งการนำเสนอบรรจุภัณฑ์พร้อมฉลาก ฝาและกล่องกระดาษ ภายใต้เทคโนโลยีการออกแบบและการผลิตที่ทันสมัย ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มียอดขายจากลูกค้าแต่ละรายเพิ่มขึ้นและเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น
“การเข้าควบรวมกิจการและปรับโมเดลธุรกิจสู่การให้บริการแบบครบวงจร จะเป็น Growth Driver สำคัญที่ส่งผลดีต่อการเติบโตของบริษัทฯ ประกอบกับบริษัทฯ ได้มุ่งเน้นด้านการขยายธุรกิจตามเป้าหมาย ทั้งการเติบโตจากภายใน (Organic Growth) และการเร่งขยายธุรกิจโดยการเติบโตจากภายนอก (Inorganic growth) และด้านการรักษาประสิทธิภาพการผลิต การบริหารจัดการสินค้าคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงยังคงมาตรการการป้องกันโรคระบาดอย่างเข้มข้น พร้อมใช้การบริหารงานแบบยืดหยุ่น เพื่อรองรับทุกสถานการณ์และความต้องการของลูกค้า ซึ่งมั่นใจว่า จะสร้างการเติบโตที่ดีให้กับบริษัทในปีนี้” นายศิลปรัตน์ กล่าว
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ (14 พ.ค.) ว่า BGC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/64 ที่ 182 ล้านบาท โดยกำไรปกติที่ 189 ล้านบาท และมียอดขายที่ 3,020 ล้านบาท โดยรายได้ขวดแก้วยังสามารถเพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบจากปีก่อน แม้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้า solar เวียดนาม รายได้ลดลง 24%เมื่อเทียบจากปีก่อนจากความเข้มแสงที่ลดลง
โดยในปี 2564 ประเมินยอดขายขวดแก้วจะกลับมาเติบโตได้จากสถานการณ์เริ่มฟื้นตัว และมีแรงหนุนจากธุรกิจ Packaging ใหม่ ทำให้คาดกำไรเติบโต 11% เมื่อเทียบจากปีก่อน (การเข้าซื้อธุรกิจ Packaging 2 บริษัท จากบริษัทบางกอกกล๊าส รวมเป็นเงิน 1.65 พันล้านบาท คาดแล้วเสร็จใน 1-2 เดือนข้างหน้า)
อีกทั้งบริษัทมีการประกาศลงทุนอีก 2.5 พันล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตขวดแก้วอีก 440 ตัน/วัน จากปัจจุบันที่ราว 3,500 ตัน/วัน โดยคงคำแนะนำ “Trading Buy” โดยมีมูลค่าพื้นฐานปี 2564 ที่ 12 บาท และยังมีความเสี่ยงเรื่องการเพิ่มทุนหากต้องลงทุนเพิ่มเติม ทั้งนี้ บริษัทมีการประกาศจ่ายปันผลงวดไตรมาส 1/64 ที่ 0.13 บาท (XD 25 พ.ค.)