HTECH ปักธงรายได้ปีนี้โต 7% รับอุตสาหกรรม IT ขยายตัว- “โควิด-19” กระทบจำกัด
HTECH ปักธงรายได้ปีนี้โต 7% รับอุตสาหกรรม IT ขยายตัว- "โควิด-19" กระทบจำกัด เหตุดำเนินธุรกิจปกติ
นายพีท ริมชลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HTECH เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2564 จะเติบโต 7% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีรายได้ 959.28 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการขยายตัวด้านอุตสาหกรรม IT ที่มีการขยายตัวค่อนข้างมาก หลังจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หนุนการพัฒนาระบบการทำงานและการพัฒนาระบบ Big Data การให้บริการ Cloud Service หนุนความต้องการใช้ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ (HDD) เติบโต ส่งผลให้ความต้องการเครื่องมือที่ใช้ในการตัดเฉือนโลหะ (Cutting Tools) เพิ่มขึ้นอย่างมาก
นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ให้ใช้ HDD ในการขุดสกุลเงินดิจิทัลทดแทนการใช้การ์ดจอขุดสกุลเงินดิจิทัล ที่ใช้พลังงานเยอะ แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามสถานการณ์การพัฒนาระบบการขุดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีหรือไม่
ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยหนุนจากการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ให้มาเป็นการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งยานยนต์ไฟฟ้าจำเป็นต้องใช้วัสดุในการผลิตที่มีน้ำหนักเบา และต้องเป็นวัสดุที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะต้อง Cutting Tools ของบริษัทในการตัด
สำหรับภาพรวมธุรกิจของบริษัทย่อยในต่างประเทศภายใต้สถานการณ์โควิด-19 มองว่าจะเริ่มมีการฟื้นตัวตามลำดับ โดยในปีนี้มีแผนเดินหน้าขยายกำลังการผลิตในประเทศเวียดนามและสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติม เนื่องจากมีตลาดและลูกค้าพร้อมรองรับอยู่แล้ว โดยบริษัทย่อยที่เวียดนามมีศักยภาพในการเติบโตสูง แต่ปัจจุบันมีกำลังการผลิตที่จำกัด จึงมีแผนเพิ่มกำลังการผลิต โดยจะส่งเครื่องจักรที่ได้มาจากการปิดโรงงานในประเทศฟิลิปปินส์ ไปยังประเทศเวียดนามและเริ่มผลิตได้ในช่วงไตรมาส 3/2564 นี้
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ราว 100 ล้านบาท เพื่อที่จะใช้ในการลงทุนขยายกำลังการผลิตในประเทศสหรัฐฯเพิ่มเติม หลังจากบริษัทย่อยแห่งใหม่ Mastertech Diamond Products Company (MDP) ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดอเมริกาเหนือ โดยบริษัทจะสั่งซื้อเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีสูงสำหรับผลิตเอง เพื่อลดเวลาการส่งของให้ลูกค้า และลดต้นทุนเทียบกับการนำเข้า จะทำให้บริษัทได้เปรียบทางการแข่งขันทั้งเรื่องราคาและระยะเวลาส่ง
“สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในครั้งนี้ยังคงกระทบน้อยกว่าครั้งแรก เพราะว่าเราสามารถดำเนินการผลิตได้ตามปกติ ไม่ได้มีการปิดการผลิตเหมือนครั้งแรกที่ผ่านมา ทำให้เรายังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และเรายังมีแรงหนุนจากหลากหลายอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตหนุนเราด้วย”