NRF มั่นใจผลงานไตรมาส 2 โตแรง รับไฮซีซั่น-ดีมานด์พุ่ง! เตรียมความพร้อมลุย “กัญชง-กัญชา”
NRF นำเสนอข้อมูลสรุปผลประกอบการไตรมาส 1/64 สิ้นสุด 31 มี.ค.2564 โดยมั่นใจว่าผลงานไตรมาส 2 โตแรง รับไฮซีซั่น-ดีมานด์พุ่ง ชงผถห.ลุยกัญชง-กัญชา 8 ก.ค.นี้
นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF นำเสนอข้อมูลสรุปผลประกอบการไตรมาส 1/2564 สิ้นสุด 31 มี.ค.2564 และเปิดเผยแผนดำเนินการในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 1 มิ.ย.2564
โดยเปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2564 ซึ่งบริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิที่ระดับ 15.21 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนมีกำไรสุทธิ 20.26 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 472 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 207 ล้านบาท หรือร้อยละ 78.1 จากไตรมาส 1 ปี 2563 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของรายได้จากทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้ธุรกิจอาหารไทยและ อาหารท้องถิ่น ถึงแม้ไตรมาส 1 จะเป็นช่วง Low Season
สำหรับ แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2564 จะดีกว่าไตรมาสแรกอย่างมีนัยสำคัญ และดีกว่าช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากเข้าสู่ช่วง High Season ยาวไปจนถึงไตรมาส 3/2564 ขณะโควิด-19 ระลอกใหม่ยังไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานโดยตรง เนื่องจากออเดอร์สินค้ายังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
“บริษัทฯ ไม่ได้มีความกังวลเกี่ยวกับสถานะการณ์โควิดในปีนี้ เนื่องจากได้มีมาตรการควบคุม และดูแลอย่างรัดกุม ขณะที่มองว่าไตรมาส 2-3 ปัญหาเรื่องตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนจะเริ่มกลับมาเป็นปกติ ในปัจจุบันเริ่มเห็นการฟื้นตัวของดีมานด์ ซึ่งตอนนี้เริ่มเห็นออเดอร์เข้ามาไปถึง 2-3 เดือน นอกจากนี้มองว่าในยุค New Normal นั้น ถือเป็น New Demand ด้วยเช่นกัน บริษัทฯคาดการณ์ว่าภายในปี 2455 จะมีกำลังการผลิตรวมเต็มรูปแบบแตะระดับ 4 หมื่นตัน ขณะที่กำลังซื้อช่วงครึ่งปีหลังยังคงสูง โดยเฉพาะยอดขายในสหรัฐฯ ซึ่งเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว” แดน ปฐมวาณิชย์ กล่าว
ขณะที่บริษัทตั้งเป้ารายได้แตะ 3,000 ล้านบาทภายในปี 2567 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะสามารถทำได้เร็วกว่าที่ตั้งเป้าเอาไว้จากกระแสความนิยมด้าน Plant-Based Food ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค รวมไปถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศต่าง ๆ ซึ่งเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติและมีงบในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในสหรัฐอมเริกา ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ สัดส่วนประมาณ 40-45%
ขณะที่ความคืบหน้าของการเข้าลงทุนในธุรกิจกัญชง กัญชา นั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติการลงทุนในหุ้นสามัญของ บริษัท โกลเด้น ไตรแองเกิล เฮลท์ จำกัด (GTH) สัดส่วน 49% โดย บริษัท ซูเปอร์ แพลนส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ NRF ถือหุ้น 100% จะเข้าถือหุ้นใน GTH มูลค่าการลงทุน ระหว่าง 62.91 ล้านบาท ถึง 77.8 ล้านบาท
โดยการเข้าลงทุนในโครงการดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทเป็นผู้นำทางการตลาดในอุตสาหกรรมกัญชงในประเทศไทย และจะทำให้มีความสามารถในการแข่งขันทั้งในภาคการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศอีกด้วย โดยหลังจากที่อุตสาหกรรมกัญชงถูกกฎหมาย บริษัทมองว่าอุตสาหกรรมดังกล่าวจะมีแนวโน้มที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความรู้ ความเชี่ยวชาญของบริษัท GTH จะช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาและนำผลิตภัณฑ์จากกัญชงมาใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆของบริษัท ทั้งใน Ethnic, plant-based, และ functional food อย่างไรก็ตามบริษัทฯ จะต้องมีการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 ก.ค.2564
อีกทั้ง GTH มีผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ของ GTH เองและพันธมิตรทางธุรกิจกับแบรนด์ชั้นนำในอุตสาหกรรมอุปโภคและบริโภคอื่นๆ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น และจะช่วยส่งเสริมตลาดและขยายการจัดจำหน่ายกัญชงในประเทศไทยด้วย โดยธุรกิจกัญชงแบ่งธุรกิจได้เป็น 2 ส่วน คือ
1.) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสารเทอร์พีน ปัจจุบันมีการร่วมกับพันธมิตรคือTrueterpenes บริษัทชั้นนำ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเทอร์พีนรายใหญ่ของโลก ปัจจุบันเริ่มมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แล้ว
2) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชง ปัจจุบันกำลังนำเข้าอุปกรณ์ และเสื้อผ้าที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมกัญชง ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ด้านธุรกิจปลูกกัญชงได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการนำเข้าเมล็ดพันธุ์ภายใต้แบรนด์ GTH ซึ่งน่าจะเห็นความชัดเจนของรายได้หลังไตรมาส 3/64 รวมไปถึงได้พันธมิตรสำคัญในวงการกัญชงระดับโลกซึ่งจะเปิดเผยภายในสัปดาห์หน้าอีกด้วย
สำหรับการร่วมลงทุนกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืชแบบครบวงจร โดยคาดการณ์ว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส 4/2565 ซึ่งการร่วมทุนในครั้งนี้ถือเป็นการรองรับโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง
สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานของ NRF และถือเป็นกลยุทธ์ในการส่งเสริมธุรกิจผลิตภัณฑ์ด้านอาหารโปรตีนจากพืช ปัจจุบัน NRF เตรียมขยายกำลังการผลิตเพื่อพร้อมรองรับการผลิตอาหารที่มีความหลากหลายมากขึ้นในอนาคต ทำให้เกิดการประหยัดต่อหน่วย ลดต้นทุนการผลิตต่อชิ้น เพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น