3 โบรกฯ เชียร์ซื้อ HANA หุ้นปลอดภัยกลุ่มอิเล็กฯ ลุ้นกำไรปีนี้ 2.6 พันลบ. รับดีมานด์พุ่ง

3 โบรกเกอร์ คาด HANA จะเติบโตในช่วงไตรมาส 2 จากความต้องการของกลุ่มสื่อสารทั้ง Smartphone, Adapter และกลุ่มยานยนต์ ส่งผลให้อัตรากำลังผลิตเฉลี่ยสูงถึงแตะ 90% และอนาคตมีการเร่งปรับปรุงโรงงานจีนรับกระแส "Made in 2025" โดยพึ่งพา “สหรัฐฯ” น้อยลง สนับสนุนกำไรสุทธิปี 2564 แตะ 2.6 พันล้านบาท เชียร์ซื้อเป้าสูงสุด 72 บาท


นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัท หลักทรัพย์ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลดำเนินงานของ บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA ช่วงไตรมาส 2/2564 คาดการณ์ว่าจะออกมาดีขึ้น และดีต่อเนื่องไปในครึ่งปีหลัง ซึ่งราคาหุ้น HANA ได้ปรับตัวขึ้นมาตอบรับบ้างแล้ว

ขณะนี้ราคาขึ้นมาเกินราคาเป้าหมายที่ให้ไว้ที่ 64 บาทต่อหุ้น โดยถือว่ามีการเล่นเก็งกำไรกันไปพอควร ตั้งแต่นี้ไปก็จะต้องติดตามดูว่าผลประกอบการจะออกมาอย่างไร หากออกมาดีก็มีแนวโน้มที่จะปรับประมาณการขึ้นต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้ HANA ซึ่งถือว่าเป็นหุ้นที่ไม่มีปัญหาฐานะการเงิน และไม่มีความเสี่ยงในเรื่องหนี้ หรือแทบไม่มีหนี้เลย ส่งผลให้เป็นหุ้นที่ปลอดภัยในการลงทุน อีกทั้งเป็นหุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ปลอดภัยในการลงทุนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศอีกด้วย จากที่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก ไม่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้อในประเทศ

นอกจากนี้ HANA ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจไป Power management เป็นสินค้าที่มีความต้องการสำหรับแนวโน้มในอนาคตอย่าง EV เป็นต้น พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2564 ไว้ที่ 2,629 ล้านบาท เติบโตจากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 1,913 ล้านบาท

ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ฯคาดการณ์ว่ากำไร HANA จะเติบโตขึ้น จากไตรมาสก่อนหน้าและจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งในไตรมาส 2/2564 มาจากความต้องการสินค้าในกลุ่มสื่อสารทั้ง Smartphone, Adapter และกลุ่มยานยนต์ ซึ่งสองอุตสาหกรรมข้างต้น คิดเป็น 40-45% ของรายได้บริษัท ทำให้อัตรากำลังผลิตเฉลี่ยสูงถึง 80-90% และกำลังผลิตโรงงาน IC อยุธยาเพิ่มขึ้น 25-30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน (เพิ่มขึ้น 10% ของรายได้รวม) เริ่มเดินเครื่องช่วงกลางปี รวมถึงค่าเงินบาทอ่อนค่า 31.3 บาทต่อเหรียญ เพิ่มขึ้น 3% ตั้งแต่ต้นไตรมาสปัจจุบันจนถึงวันที่ปัจจุบัน

โดยระยะสั้นประเด็นที่วัตถุดิบ หรือ Chip ขาดตลาด อาจส่งผลกระทบบ้างในไตรมาส 3/2564 แต่จะจำกัดเนื่องจากลูกค้าได้เตรียมแผนไว้แล้ว ขณะบริษัทมีฐานลูกค้าในหลายอุตสาหกรรมจะช่วยลดความเสี่ยงจากการหยุดผลิตลง สนับสนุนแนวโน้มรักษาระดับกำไรทรงตัวในระดับสูงตลอดช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปี 2564

นอกเหนือจากการเติบโตในธุรกิจเดิมที่ได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มเติม บริษัทยังมองหาโอกาสเติบโตใหม่ๆโดยเฉพาะเทคโนโลยีด้าน Power management เป็นสินค้าที่ความต้องการสำหรับแนวโน้มในอนาคตทั้ง EV , สินค้า 5G โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาในประเทศเกาหลีก่อนเริ่มจำหน่ายในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปี 2564 ทำให้มีมุมมองบวกต่อ HANA ที่ทยอยเปลี่ยนภาพจากเดิมเป็นผู้รับจ้างผลิต (EMS : Electronics Manufacturing services) ไปสู่รูปแบบ ODM (Original Design Manufacturer) ที่มีแบรนด์ของตนเองทำให้มี Upside risk ต่อประมาณการยอดขายของสินค้า

โดยอัตรากำไรขั้นต้นตาม product mix สินค้า High-end สูงขึ้น พร้อมคาดการณ์กำไรปี 2564 ที่ 2,214 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 16% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ซึ่งราคาเป้าหมายอยู่ที่ 68 บาท

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ว่างบไตรมาส 2/2564 ของ HANA ที่ 689 ล้านบาท เพิ่มขึ้น129% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มทั้งรถยนต์ เทเลคอม อุตสาหกรรม ส่งผลให้ HANA ใช้กำลังการผลิตเกือบเต็มในโรงงานอยุธยา, ลำพูน และสหรัฐ ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าจะช่วยเรื่องมาร์จิ้นให้ดีขึ้นด้วย ส่วนข่าว chip shortage ลูกค้าทุกกลุ่มยังสั่งซื้อตามปกติ แต่เรื่องวัตถุดิบผลิตเซมิคอนดักเตอร์คือลวดทองแดงเริ่มมีระยะเวลาในการสั่งซื้อนานขึ้น อาจทำให้สายการผลิตเซมิฯของ HANA ใช้กำลังการผลิตได้ไม่เต็มที่ในไตรมาส 3/2564

อย่างไรก็ตาม ยังคาดกำไรสุทธิเติบโต 22% ในปี 2564 ที่ 2.32 พันล้านบาท ปัจจัยบวกในอนาคตคือการเร่งปรับปรุงโรงงานจีนรับกระแส “Made in 2025” ที่จีนจะทำ tech center ของจีนเองและพึ่งพาสหรัฐน้อยลง ด้วยฐานะทางการเงินของ HANA ที่มีเงินสดถึง 9 พันล้านบาท และไม่มีหนี้ทำให้ HANA เร่งลงทุนในอยุธยาและจีนได้ง่าย นอกจากนี้ HANA กำลังพัฒนาสินค้าใหม่คือ Power management Semiconductor หรือ SiC ซึ่งมาร์จิ้นสูง ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ต้องการใช้ไฟฟ้าสูง เช่น EV car คาดการณ์ว่าจะเห็นรายได้ในปีหน้า โดยให้ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 72 บาท

Back to top button