เปิดโผ 29 หุ้น mai เก็งกำไรสนั่น! 5 เดือนฟันรีเทิร์นเกิน 100%

เปิดโผ 29 หุ้น mai เก็งกำไรสนั่น! 5 เดือนฟันรีเทิร์นเกิน 100% นำโดย SAAM,KWM,KUN,PJW,UMS,CIG,IMH, TAKUNI,PPM,KK, ETE,SONIC,DIMET,FVC,DHOUSE,PLANET,VL, NCL,SPVI,KCM,CHO,CHEWA,IRCP,XO, NDR,ADB,META,AIRA,BROOK


ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ยังเป็นขาขึ้น แม้ว่าภาวะตลาดจะได้ผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3 อย่างหนัก รวมทั้งแรงกดดันจากการปรับลดน้ำหนักการลงทุนจาก MSCI ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาก็ตาม โดยเห็นได้จากดัชนี SET ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 อยู่ที่ระดับ 1449.35 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ระดับ 1593.59 จุด ณ วันที่ 31 พ.ค.2564 บวก 144.20 จุด หรือเพิ่มขึ้น 9.95%

อย่างไรก็ตามคาดว่าทิศทางตลาดหุ้นในเดือนมิ.ย.2564 คาดยังปรับตัวขึ้นได้ หลังจากแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัว หลังจากหลายประเทศทยอยฉีดวัคซีนมากขึ้น และเริ่มคลายการล็อกดาวน์ประเทศ

ขณะที่ไทยเตรียมส่งมอบวัคซีนเพื่อฉีดให้ครบ 100 ล้านโดสตามแผน บวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ คาดเป็นปัจจัยบวกให้ตลาดกลับมาสดใสและเป็นปัจจัยบวกให้หุ้นพื้นฐานแกร่งปรับตัวขึ้นได้ รวมทั้งหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ mai คาดว่าจะทะยานแรงต่อเนื่องหลายตัว

ดังนั้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจกลุ่มหุ้น mai  ในช่วง 5 เดือนมานำเสนอ โดยคัดเลือกเฉพาะหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงเกิน100% โดยเปรียบเทียบข้อมูลราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.63-31 พ.ค.64 ดังตารางประกอบ

สำหรับหุ้นที่ปรับตัวแรงและเข้าเกณฑ์ดังกล่าวมี 29 ตัว ประกอบด้วย SAAM,KWM,KUN,PJW,UMS,CIG,IMH, TAKUNI,PPM,KK, ETE,SONIC,DIMET,FVC,DHOUSE, PLANET,VL, NCL,SPVI,KCM,CHO,CHEWA,IRCP,XO, NDR,ADB,META,AIRA,BROOK ตามตารางประกอบและจะขอนำเสอข้อมูลประกอบ 4 อันดับแรกดังนี้

สำหรับอับดับ 1 คือ บริษัท เอสเอเอเอ็ม เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAAM ราคาหุ้น 5 เดือนแรก ปี 2564 ปรับตัวขึ้น 428% จากระดับ 1.08 บาท  ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 5.70 บาท ณ วันที่ 31 พ.ค.64 โดยนักลงทุนเข้ามาไล่ซื้อหุ้นขนาดเล็ก เนื่องจากที่ผ่านมามีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนทั้งแผนธุรกิจที่โดดเด่นในปีนี้และผลประกอบการไตรมาส 1/2564 มีกำไร 9.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 7.35 บาท

โดยล่าสุด SAAM ที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร ครั้งที่ 05/2564 ได้มีมติอนุมัติให้เข้าดำเนินธุรกิจปรับปรุงประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการงานเฉพาะทาง ด้วยเทคโนโลยี ผ่านโซลูชั่นวิเคราะห์และติดตามข้อมูลบิ๊กดาต้า และกลุ่มบริษัทฯ ได้เข้าลงนามใน สัญญาอนุญาตให้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์และติดตามข้อมูลบิ๊กดาต้า เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการงานเฉพาะทาง กับบริษัทคู่ค้าซึ่งเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งซอฟต์แวร์นี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของโซลูชั่นและในการดำเนินธุรกิจดังกล่าว

ทั้งนี้กลุ่มบริษัทฯ จะดำเนินธุรกิจร่วมกันกับบริษัทคู่ค้าซึ่งเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์วิเคราะห์และติดตามข้อมูล โดยกลุ่มบริษัทฯ ได้รับสิทธิในการใช้ระบบและซอฟต์แวร์ดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว

กลุ่มบริษัทฯ จะนำเสนอโซลูชั่นเทคโนโลยีแก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการ และลดค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญในการดำเนินงานของลูกค้า ที่มีงานเฉพาะทางซึ่งจำเพาะต่อกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายรวมถึง แต่ไม่จำกัดเพียง กลุ่มโรงพยาบาล ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน และกลุ่มโรงแรม

หลังจากอบรมการใช้งานในโซลูชั่นนี้ให้กับลูกค้าแล้ว ถือว่าการส่งมอบโซลูชั่นเป็นที่เรียบร้อย โดยกลุ่มบริษัทฯ ไม่จำเป็นต้องมีทีมคอยดูแลระบบ เนื่องจากบริษัทคู่ค้าซึ่งเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ดังกล่าว จะเป็นผู้ดูแลระบบให้กับลูกค้าแทนกลุ่มบริษัทฯ โดยเก็บค่าบริการในอัตราที่คงที่ตลอดอายุสัญญาระยะยาว

ในการส่งมอบโซลูชั่น ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการของลูกค้า กลุ่มบริษัทฯ จะเข้าลงทุนในอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ตามที่จำเป็นและเหมาะสมต่อการให้บริการลูกค้าแต่ละราย เช่น แท็กอาร์เอฟไอดีชนิดพิเศษ (Custom Made RFID Tag) เครื่องอ่านอาร์เอฟไอดีแบบพกพา (RFID Handheld Reader) ตู้อาร์เอฟไอดีชนิดพิเศษ (Custom Made RFID Chamber) อุปกรณ์สื่อสาร และอาจรวมถึงเครื่องมือ เครื่องใช้ และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ประเภทอื่นๆ

ทั้งนี้ การเข้าลงทุนจัดซื้ออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์สาหรับลูกค้าแต่ละราย จะเกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้ตกลงในเงื่อนไขการให้บริการโซลูชั่น และเข้าลงนามในสัญญาให้บริการโซลูชั่นกับลูกค้าแล้วเท่านั้น ซึ่งเป็นการบริหารความเสี่ยงในเรื่องของการลงทุนแล้วไม่ก่อให้เกิดรายได้ และมูลค่าการลงทุนจะขึ้นอยู่กับขนาด ความต้องการ และผลการเข้าเจรจากับลูกค้าแต่ละราย

บริษัทคาดว่า ธุรกิจนี้จะช่วยเสริมสร้างรายได้และกำไรอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว ทำให้กลุ่มบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิที่สูงขึ้น อีกทั้งยังมีโอกาสในการเติบโตอย่างมากและต่อเนื่อง (Passive Income with Growth) เนื่องจากในปัจจุบัน ยังไม่มีคู่แข่ง และกลุ่มบริษัทฯ เป็นเพียงบริษัทเดียวที่มีเทคโนโลยีซอฟต์แวร์และโซลูชั่นเฉพาะทางในลักษณะนี้

ทั้งนี้ มูลค่าของรายได้และกำไรที่จะเพิ่มขึ้นจากการดำเนินธุรกิจดังกล่าว จะขึ้นอยู่กับจำนวนข้อมูลที่ติดตามในงานเฉพาะทางของลูกค้าแต่ละราย และจำนวนของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจากับกลุ่มลูกค้าโรงพยาบาล ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน และจะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบต่อไป

 

อันดับ 2 บริษัท เค. ดับบลิว. เม็ททัล เวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ KWM ราคาหุ้น 5 เดือนแรก ปี 2564 ปรับตัวขึ้น 414% จากระดับ 1.07 บาท  ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 5.50 บาท ณ วันที่ 31 พ.ค.64 เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาไล่ซื้อหุ้นขนาดเล็ก และสัญญาณทางเทคนิคเป็นขาขึ้น อีกทั้งผลประกอบการบริษัทมีแนวโน้มสดใส และการแจกวอแรนต์ฟรี

โดยล่าสุด KWM แจ้งผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2564 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 25.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.10 ล้านบาท หรือ 406.88% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.94 ล้านบาท

ขณะเดียวกันที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการออกและจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ครั้งที่ 1 (KWM-W1) จำนวนไม่เกิน 140 ล้านหน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม โดยไม่คิดมูลค่าในอัตราการจัดสรรเท่ากับ 3 หุ้นเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ มีอายุไม่เกิน 2 ปีนับจากวันที่ออก และมีอัตราการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ 1หน่วยต่อหุ้นสามัญของบริษัท 1 หุ้น ในราคาใช้สิทธิ1.50 บาทต่อหุ้น

โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ KWM-W1 (Record Date) ณ วันที่ 27 พ.ค. 2564 เพื่อจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2564 ในวันอังคารที่ 29 มิถุนายน 2564

 

อันดับ 3 บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN ราคาหุ้น 5 เดือนแรก ปี 2564 ปรับตัวขึ้น 226% จากระดับ 0.89 บาท  ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 2.90 บาท ณ วันที่ 31 พ.ค.64 เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาไล่ซื้อหุ้นขนาดเล็ก และสัญญาณทางเทคนิคเป็นขาขึ้น อีกทั้งผลประกอบการบริษัทมีแนวโน้มสดใส

ล่าสุด KUN แจ้งผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2564 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 ทำสถิติใหม่อีกครั้ง โดยบริษัทฯมีรายได้รวมไตรมาส 1/2564  อยู่ที่  189.74  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 161.85 ล้านบาท และกำไรสุทธิไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 27.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 137.76% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 11.51 ล้านบาท

ส่วนในช่วงไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 1 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นโครงการที่จะสร้างรายได้ให้บริษัทในช่วงปลายปี 2564 คือโครงการ คุณาลัย พาร์โก้ เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาทต่อยูนิต รวมจำนวน 96 ยูนิต ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนนี้

สำหรับโครงการดังกล่าว จะพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าครอบครัวใหญ่ที่อยู่อาศัยรวมกัน 3 เจเนอเรชั่น (Gen) ในบ้านหลังเดียว และลูกค้าที่ต้องการบ้านที่ให้เนื้อที่รอบบ้านและพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น มั่นใจว่าจะได้รับความสนใจและกระแสตอบรับที่ดีอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นการพัฒนาต่อเนื่องจากสินค้าขายดีของบริษัทที่เพิ่งปิดโครงการไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมั่นใจภาพรวมผลประกอบการในปี 2564 จะเป็นอีกปีที่ดีของ KUN เนื่องจาก บริษัทฯ มีความพร้อม และความหลากหลาย ทางด้านสินค้าและยังมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมการอยู่อาศัยที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และมีกลุ่มลูกค้าเดิมเป็นจำนวนมากที่ช่วยแนะนำบอกต่อเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญ โดยปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายที่ 1,500 ล้านบาท และรายได้ทั้งปีโตประมาณ 10-15 % เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 799.64 ล้านบาท

 

อันดับ 4 บริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW ราคาหุ้น 5 เดือนแรก ปี 2564 ปรับตัวขึ้น 216.56% จากระดับ 1.51 บาท  ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ  4.78 บาท ณ วันที่ 31 พ.ค.64 คาดนักลงทุนเก็งกำไรหุ้นเล็ก และมั่นใจแผนธุรกิจและผลงานปีนี้คาดเติบโตโดดเด่น

โดย PJW รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/64 มีกำไรสุทธิ 43.10 ล้านบาท โต 24.54% จากไตรมาส 1/2564 เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการบริหารและต้นทุนทางการเงินลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ด้านนายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร PJW เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปี 2564 เติบโต 5-10% จากปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 2,819.83 ล้านบาท เนื่องจากคาดทุกกลุ่มมีการเติบโต เป็นไปตามภาพรวมตลาดในปี 2564 ที่เริ่มฟื้นตัว

ขณะเดียวกันในปี 2564 บริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ 150-170 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในประเทศจีนสำหรับปรับปรุงประสิทธิภาพโรงงาน และการลงทุนในประเทศไทย สำหรับปรับปรุงประสิทธิภาพโรงงานเพื่อลดต้นทุน สายการผลิต และคลังสินค้า ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อให้เกิดยอดขาย

ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button