XO บวกแรง 6% ลุ้นผลงาน Q2 โตเด่นต่อเนื่อง โบรกเชียร์ซื้ออัพเป้า 26 บาท
XO บวกแรง 6% ลุ้นผลงาน Q2 โตเด่นต่อเนื่อง โบรกเชียร์ซื้ออัพเป้าใหม่ 26 บาท หลังบริษัทปรับเพิ่มกำไรปีนี้คาดโตทะลัก 40% จากเดิม 25%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(28 มิ.ย.64) ราคาหุ้นบริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO โดย ณ เวลา 16.06 น. อยู่ที่ 23.50 บาท บวก 1.40 บาท หรือ 6.33% สูงสดที่ 23.80 บาท ต่ำสุดที่ 22.00 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 137.39 ล้านบาท
ด้านบล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวเคราะห์ว่า แนะนำ “ซื้อ” XO ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 26.00 บาท จากเดิมที่ 18.00 บาท อิง 2021E PER ใหม่ที่ 23x (เทียบเท่า 5-yr average PER) จากเดิมที่ 18x เทียบเท่า –0.5SD
โดยมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นจากผู้บริหารตั้งเป้าใหม่กำไรปี 2564 โต +30% ถึง +40% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจากเดิมที่ +20% ถึง +25% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, 2) คาดรายได้ไตรมาส /2564 โตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2564 จากยอดขายที่อยู่ในมือราว 450 ล้านบาท และสามารถส่งมอบไปแล้ว มากกว่า 200 ล้านบาท, 3) กลยุทธ์การขายใหม่ Listing fee เห็นผลเร็วกว่าที่เราคาด โดยยอดขายเริ่มเข้ามาตั้งแต่ไตรมาส1/2564 จากเดิมที่คาดเห็นไตรมาส 3/2564
ด้านนายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ XO เปิดเผยว่า บริษัทปรับเป้าหมายกำไรสุทธิปี 64 เติบโต 30-40% จากเป้าหมายเดิม 20-25% จากปีก่อนที่ทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 318 ล้านบาท โดยแนวโน้มไตรมาส 2/64 มีทิศทางผลประกอบการเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/64 ที่ผ่านมา และเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากคำสั่งซื้อของลูกค้าเดิมเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้มีคำสั่งซื้อในมือแล้วที่ 450 ล้านบาท
ขณะที่ สัดส่วนตลาดส่งออกปัจจุบันยังคงเน้นไปที่ตลาดยุโรป 80% ตลาดเอเชีย 5-6% ตลาดออสเตรเลียและโอเชียเนีย 5-6% ตลาดสหรัฐอเมริกา 1% และตลาดแอฟริกา 1% โดยตลาดในยุโรปเป็นตลาดที่ใหญ่ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีก ยกตัวอย่างตลาดเยอรมนี ซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งมีสินค้าของบริษัทเพียง 1-2 รายการ จากปกติสามารถมีได้ถึง 15-20 รายการ เพราะฉะนั้นยังมีโอกาสที่จะเติมสินค้าเข้าไปได้อีก
ด้านตลาดที่จีน มีการจ่ายค่าแรกเข้า (Listing fee) เพื่อนำสินค้าเข้าไปวางจำหน่ายในซุปเปอร์ใหญ่ๆ เช่น วอลมาร์ท เป็นต้น ซึ่งในปีนี้มีการวางงบลงทุนจ่ายค่าแรกเข้า (Listing fee) ไว้ที่ 10-15 ล้านบาท ซึ่งเริ่มทำมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ปัจจุบันจ่ายไปแล้วประมาณ 25% เพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายให้กับบริษัท กระตุ้นยอดขายให้เติบโต
อีกทั้งบริษัทยังคงมองการขยายตลาดใหม่เพิ่มอยู่ตลอด ซึ่งปกติจะมีการเดินทางไปงานแสดงสินค้าที่ต่างประเทศ 15-18 งานในทุกปี แม้ปัจจุบันจะไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่หากสถานการณ์คลี่คลาย คาดว่าจะมียอดขายจากงานดังกล่าวเพิ่มเข้ามาในอนาคตอีกด้วย
สำหรับในปีนี้บริษัทยังมุ่งเน้นการผลักดันสินค้ากลุ่มซอส ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 80% ของรายได้ทั้งหมด เป็นสินค้ากลุ่มหลักที่มีกำไรสูงที่สุด โดยล่าสุดมีสินค้าที่ทุกคนติดตามอยู่คือ ซอสศรีราชากัญชง ซึ่งปัจจุบันดำเนินการพัฒนาสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการส่งตัวอย่างให้กับลูกค้า คาดว่าจะสามารถส่งออกได้ภายในปีนี้ และสินค้าอื่น ๆ ก็จะมีทยอยออกมาเรื่อย ๆ
ปัจจุบันบริษัทใช้กำลังการผลิตไป 70% ซึ่งหากคำนวณจากยอดขายในไตรมาส 2/64 ที่ 450 ล้านบาท จะต้องใช้กำลังการผลิตถึง 80% อาจจะต้องเพิ่ม Production Line คาดว่าจะใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท โดยไม่ต้องลงทุนซื้อที่ดินหรืออาคารโรงงานใหม่ เพราะมีพื้นที่เหลืออยู่แล้ว จะลงทุนเพียงแค่ในส่วน Production Line เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ด้านราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไม่ส่งผลกระทบกับทางบริษัท โดยวัตถุดิบสำคัญ 3 ชนิดของบริษัท คือ น้ำตาล พริก และกระเทียม ซึ่งทางบริษัทได้มีการเซ็นสัญญาและกำหนดราคาซื้อขายวัตถุดิบทุกชนิดเป็นที่เรียบร้อยไปจนถึงปลายปี 65 แล้ว
สำหรับทิศทางของเงินบาท มองว่าไม่มีปัญหากับทางบริษัท โดยบริษัทส่งออกในรูปเงินบาท 75% ซึ่งทำให้ไม่มีความเสี่ยงเลย เนื่องจากบริษัทขายยี่ห้อตัวเองเป็นหลัก ทำให้มีอำนาจในการต่อรอง
“โควิด-19 ช่วยให้คนประกอบอาหารที่บ้านมากขึ้น ให้อานิสงส์กับกลุ่มผู้ที่ขายสินค้าเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งสินค้าของทางบริษัท 98% เป็นสินค้าไซส์เล็กที่ขายเข้าซุปเปอร์มารเก็ต ไม่ใช่ที่ร้านอาหาร ทำให้สินค้าของบริษัทมีคนสนใจเพิ่มขึ้น และแม้โควิด-19จบลง ก็ยังคงเป็นผลดีกับบริษัทต่ออยู่ดี เพราะสามารถเดินทางไปงานแสดงสินค้าในต่างประเทศได้ ซึ่งจะทำให้มียอดขายเพิ่มเข้ามาอีกในอนาคต” นายจิตติพร กล่าว