STA-STGT วิ่งคึก! โบรกฯชี้ผลงานปี 64 โต! ราคายางธรรมชาติพุ่ง-ยอดขายถุงมือหนุน
แม่ลูก “STA-STGT” ราคาวิ่งคึก! โบรกฯมองรายได้ปีนี้โตเด่น รับธุรกิจยางธรรมชาติฟื้นตัวด้วยคำสั่งซื้อถึงเดือน ส.ค.64 และธุรกิจถุงมือยางหนุนจากสถานการณ์โควิด-19 ยังแพร่ระบาดหนักในปัจจุบัน แนะ “ซื้อ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (29 มิ.ย.64) ราคาหุ้นบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ณ เวลา 11.47 น. อยู่ที่ระดับ 42 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท หรือ 4.35% โดยทำจุดสูงสุดที่ 42.50 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 40.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 830.90 ล้านบาท
ส่วนราคาหุ้น บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ณ เวลา 11.13 น. อยู่ที่ระดับ 42.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 2.42% โดยทำจุดสูงสุดที่ 42.75 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 41.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 657.05 ล้านบาท
สำหรับราคาหุ้น STA และ STGT สองแม่ลูกกอดคอกันปรับตัวขึ้นเนื่องจากมีปัจจัยบวกเฉพาะทาง โดยเฉพาะผลประกอบการไตรมาส 2/2564 และในปี 2564 จะเติบโตแกร่งตามนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้อย่างเช่น
หุ้นแม่อย่าง STA มีทาง บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (14 พ.ค. 2564) คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/2564 ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ด้วยจากธุรกิจยางธรรมชาติมีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ก่อให้เกิดพฤติกรรม New Normal โดยผู้บริโภคหันมาใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่สาธารณะ เป็นปัจจัยหนุนให้ธุรกิจยางธรรมชาติฟื้นตัวโดยมีดีมานด์ทั้งในตลาด Replacement และ New market ในปัจจุบันมีคำสั่งซื้อจนถึงเดือน ส.ค.2564 แล้ว รวมถึงราคายางธรรมชาติที่อยู่ในระดับสูงส่งผลให้คาดว่าจะปรับราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5-7% จากไตรมาสก่อนคาดจะเป็นปัจจัยหนุนให้อัตรากำไรดีขึ้นจากไตรมาสก่อน
ด้านธุรกิจถุงมือยางคาดว่าราคาจะมีการปรับลงราว 15-20% จากไตรมาสก่อนโดยเริ่มมีการปรับราคาลงในช่วงเดือน มิ.ย. 2564 ส่งผลให้คาดว่าอัตรากำไรจะลดลงจากไตรมาสก่อนแต่คาดปริมาณขายเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 7,000 ล้านชิ้น
นอกจากนี้ STA มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานยางแท่ง 3 โรงงาน ได้แก่ บึงกาฬ พิษณุโลก และสกลนคร โดยเป็นโรงงานที่บริษัทมีอยู่แล้วแต่เพิ่มส่วนต่อขยาย ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการผลิตได้ในช่วงเดือน ธ.ค. 2564 โดยตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิต 180,000 ตันต่อปี (เพิ่มขึ้น 9% จากปี 2563) ใช้เงินลงทุนราว 1,060 ล้านบาท ทั้งนี้การขยายโรงงานดังกล่าวเพื่อรองรับดีมานด์จากธุรกิจยางธรรมชาติที่สูงขึ้นรวมถึงคู่แข่งที่ลดลงจึงเป็นโอกาสที่ STA จะเพิ่มสัดส่วน Market Share
อย่างไรก็ดีกำไรสุทธิไตรมาส 1/2564 คิดเป็น 47% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ของทางฝ่ายวิจัยทำให้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 เพิ่มขึ้น 63% เป็น 20,518 ล้านบาท และปี 2565 เพิ่มขึ้น 52% เป็น 15,463 ล้านบาท จากดีมานด์ธุรกิจยางธรรมชาติที่ฟื้นตัว
ทั้งนี้ STA รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 5,959 ล้านบาท เติบโต 598% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และ 8% จากไตรมาสก่อน อยู่ในกรอบประมาณการของทางฝ่ายวิจัยซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 31,580 ล้านบาท เติบโต 81% จากงวดเดียวกันของปีก่อนและ 20% จากไตรมาสก่อนจาก 1.รายได้ธุรกิจยางธรรมชาติที่เติบโต 18% จากงวดเดียวกันของปีก่อนและ 30% จากไตรมาสก่อนเป็นผลมาจากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับสูงขึ้นตามราคายางธรรมชาติในตลาดโลก ขณะที่ปริมาณขายเติบโต 7% จากงวดเดียวกันของปีก่อนและ 19% จากไตรมาสก่อน และ 2.รายได้ธุรกิจถุงมือยางเติบโต 303%จากงวดเดียวกันของปีก่อนและ 12%จากไตรมาสก่อนจากดีมานด์ที่ยังแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตามปริมาณขายเติบโต 7% จากงวดเดียวกันของปีก่อนแต่ลดลง 7% จากไตรมาสก่อน โดยถูกกดดันจากการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งด้านอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 42.9% เทียบกับไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 14.1% และไตรมาส 4/2563อยู่ที่ 42.8% ตามลำดับ
อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยคาดว่าผลประกอบการปี 2564 จะเติบโตจากธุรกิจยางธรรมชาติและถุงมือยาง แม้คาดว่าจะมีการปรับลดราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางแต่ราคาขายเฉลี่ยยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงก่อนช่วงการแพร่ระบาด COVID-19 แนะนำ“ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่ 60.00 บาท
ส่วนหุ้นลูกอย่าง STGT มีประเมินจาก บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (18 พ.ค. 2564 ว่ามีมุมมองเป็นบวกต่อภาพอุตสาหกรรมถุงมือยางในตลาดโลกยังมีอัตราการเติบโตได้จากปัจจัยต่างๆ ที่มาสนับสนุนจากเดิมจะเน้นไปที่การแพทย์แต่ในปัจจุบันได้กระจายไปในอุตสาหกรรมอื่นๆเพิ่มขึ้นประกอบกับวิถีใหม่ที่เกิดขึ้น โดย MARGMA คาดการณ์ปริมาณการใช้ถุงมือยางปี 2564 จะเติบโต 17% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 420,000 ล้านชิ้นโดยผู้ผลิต 2 ประเทศหลักๆในอุตสาหกรรมกินส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 80% ยังคงเป็นมาเลเซียและไทย
ขณะที่ STGT ยังคงแผนขยายกำลังการผลิตรองรับการเติบโตของความต้องการใช้เช่นกัน และตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตเป็น 1 แสนล้านชิ้นภายในปี 2569 ด้วยเงินลงทุนทั้งสิ้น 44,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยคาดว่าการดำเนินงานของ STGT จะผ่านช่วงสูงสุดไปแล้วในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา แต่คาดว่าช่วงที่เหลือของปีการดำเนินงานยังมีการเติบโตได้ดีหากเทียบกับในอดีต อีกทั้งราคาปัจจุบันซื้อขายบน P/E เพียง 4 เท่าและผลตอบแทนเงินปันผลที่ราว 10% ต่อปีทำให้แนะนำ“ซื้อ” ปรับราคาพื้นฐานเพิ่มเป็น 56 บาท