KTIS บวกแรง 6% นิวไฮรอบ 2 ปี 3 เดือน คาดเก็งกำไรทางเทคนิค-ราคาน้ำตาลสูงขึ้นต่อเนื่อง

KTIS บวกแรง 6% โดย ณ เวลา 11.10 น. อยู่ที่ระดับ 5.95 บาท บวก 0.35 บาท นิวไฮรอบ 2 ปี 3 เดือน คาดเก็งกำไรทางเทคนิค-ราคาน้ำตาลสูงขึ้นต่อเนื่อง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(2 ก.ค.64) ราคาหุ้นบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ณ เวลา 11.10 น. อยู่ที่ระดับ 5.95 บาท บวก 0.35 บาท หรือ 6.25% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 27.84ล้านบาท ราคาหุ้นนิวไฮในรอบ 2 ปี 3 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 6.00 บาท เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 62

คาดนักลงทุนเก็งกำไรเทคนิคขาขึ้นจากแนวโน้มราคาน้ำตาลที่ยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีกจากแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว การบริโภคฟื้นตัว และผลผลิตจากประเทศผู้ส่งน้ำตาลรายใหญ่ของโลก คือ บราซิลอาจลดลง

โดยก่อนหน้านายปราโมทย์ วิทยาสุข ประธาน 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย (TSMC) เปิดเผยว่า โรงงานน้ำตาลทั่วประเทศ 57 โรงงานได้ทำสำรวจปริมาณผลผลิตอ้อยขั้นต้นในช่วงฤดูการเพาะปลูกปี 2564/2565 คาดมีผลผลิตอ้อยเข้าหีบเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 90 ล้านตันอ้อย สูงกว่ารอบการผลิตปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 66.67ล้านตันอ้อย

ปัจจัยหลักมาจากสภาพอากาศที่เอื้อต่อการเพาะปลูกจากปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้น ประกอบกับการสร้างความเชื่อมั่นด้วยการประกันราคารับซื้ออ้อยให้แก่ชาวไร่ในราคาขั้นต่ำที่ 1,000 บาทต่อตัน ณ ค่าความหวาน 10 ซี.ซี.เอส. เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเพาะปลูก นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมของภาครัฐที่ให้ความสำคัญทางด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อตัดอ้อยสด ทำให้ชาวไร่อ้อยมีรายได้จากการเพาะปลูกอ้อยเพื่อส่งมอบให้แก่โรงงาน รองรับความต้องการบริโภคน้ำตาลที่คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น หลังสถานการณ์โควิด19 คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น

ส่วนแนวโน้มราคาน้ำตาลในตลาดโลกยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น แม้ประเทศไทยในฐานะผู้ส่งออกอันดับ 2 ของโลกได้คาดการณ์ปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้นก็ตาม เนื่องจากบราซิล ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก ต้องเผชิญกับปัญหาจากสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตอ้อย ประกอบกับการคาดการณ์ว่าบราซิลจะนำผลผลิตอ้อยไปผลิตเป็นเอทานอลเพิ่มขึ้น จะส่งผลสะท้อนต่อสภาวะราคาน้ำตาลตลาดโลกในทิศทางที่ดีขึ้นในระดับหนึ่ง 

สำหรับการบริโภคน้ำตาลภายในประเทศในรอบการผลิตปี 2563-2564 (ตุลาคม 2563-กันยายน 2564) คาดว่าจะชะลอตัวลงเหลือ 2.2 ล้านตัน จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะมีการบริโภคอยู่ที่ 2.4 ล้านตัน หลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 ระลอก 2 และ 3 เป็นผลให้การบริโภคภายในประเทศหดตัวลง โดยพบว่า ในช่วงเดือน 8 เดือน (ตุลาคม 2563-พฤษภาคม 2564) มีการปริมาณขายน้ำตาลภายในประเทศได้ 1.5 ล้านตันเท่านั้น

“โรงงานน้ำตาลจัดสรรปริมาณน้ำตาลไว้สูงเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภค มิให้เกิดภาวะขาดแคลน ภายในประเทศ แต่การแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้การบริโภคลดลงมากและต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และจากปริมาณการบริโภคในประเทศที่ลดต่ำกว่าที่คาดไว้ โรงงานจะนำน้ำตาลส่วนที่เหลือจากการขายในประเทศส่งออกไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศแทน เพื่อบริหารซัพพลายให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์สูงสุดของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายไทย” นายปราโมทย์ กล่าว

Back to top button