THANI บวก 4% โบรกฯเชียร์ซื้อ! สินเชื่อครึ่งปีหลังทะลุ 2 พันลบ. หลังยอดขายรถบรรทุกโต
THANI พุ่ง 4% โบรกฯมองแนวโน้มปล่อยสินเชื่อดีขึ้นครึ่งปีหลัง ทะลุ 2 พันลบ. รับประโยชน์ความต้องการรถบรรทุกเพิ่มขึ้นสูงด้วยเศรษฐกิจในประเทศจะดีขึ้น รวมถึงการลงทุนโครงการภาครัฐและการขนส่ง e-Commerce เชียร์ “ซื้อ” ราคาเป้า 6 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (5 ก.ค.2564) ราคาหุ้น บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ THANI ณ เวลา 11.25 น. อยู่ที่ระดับ 5.15 บาท เพิ่มขึ้น 0.19 บาท หรือ 3.83% โดยทำจุดสูงสุดที่ 5.25 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 4.96 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 139.50 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ (22 มิ.ย.2564) โดยประเมินต่อหุ้น THANIว่าด้วยเรื่องสินเชื่อของบริษัทในปี 2564 จะพลิกกลับมาขยายตัว 6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และต่อเนื่องถึงปี 2565อยู่ที่ 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หลังจากปี 2563 ที่หดตัว 8%
สำหรับสินเชื่อในปี 2564-2565 จะพลิกกลับมาดีขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน หนุนโดย 1) ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ในไตรมาส 2/2564 ที่ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 1.80 พันล้านบาทต่อเดือน สูงกว่าไตรมาส 2/2563 อยู่ที่ 1.30 -1.40 พันล้านบาทต่อเดือน (2) คาดว่าความต้องการรถบรรทุกจะเพิ่มขึ้นสูงโดยเฉพาะครึ่งปีหลัง 2564 จากยอดขายรถบรรทุกสะสมปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดย 5 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 23% จากงวดเดียวกันของปีก่อน รวมถึงเศรษฐกิจในประเทศที่จะดีขึ้นทั้งการลงทุนโครงการภาครัฐและการขนส่ง e-Commerce ที่เพิ่มขึ้น และบริษัทฯได้ตั้งเป้าการปล่อยสินเชื่อในครึ่งปีหลัง 2564 ที่ 2.20 พันล้านบาทต่อเดือน สูงกว่าในครึ่งปีแรก 2564 ที่ 1.80 พันล้านบาทต่อเดือน
ทั้งนี้ทางฝ่ายวิจัยประเมินว่าบริษัทฯมีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอต่อการขยายสินเชื่อจากวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้ที่ 7พันล้านบาท และหุ้นกู้ที่ออกในเดือน มิ.ย. จำนวน 3.00 พันล้านบาท (อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเพียง 2.0%) และ3.ได้ประเมินว่าลูกหนี้ที่บริษัทฯได้ให้ความช่วยเหลือจะทยอยลดลงจากไตรมาส 1/2564 ที่อยู่ที่ 2% ของสินเชื่อรวม จากลูกหนี้กลุ่มท่องเที่ยวที่จะดีขึ้นในภายหลังที่มีการเปิดประเทศเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว เช่น Phuket sandbox
นอกจากนี้ยังได้ประเมินว่าบริษัทฯได้รับผลกระทบจากการแนวโน้มที่ภาครัฐจะเข้ามาควบคุมอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อรายย่อยเพิ่มที่ต่ำ เนื่องจากบริษัทปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการมากกว่า 70%
ขณะเดียวกันได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ลง 6% อยู่ที่ 1.90 พันล้านบาท ทรงตัวจากงวดเดียวกันของปีก่อนจากการปรับ credit cost เพิ่มขึ้น 30% เพื่อสะท้อนการตั้งสำรองฯที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับ COVID-19 ในขณะที่ประเมินกำไรสุทธิปี 2565 จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 17% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 2.23 พันล้านบาท จาก 1) สินเชื่อที่จะขยายตัว12% จากงวดเดียวกันของปีก่อนต่อเนื่องจากปี 2564 ที่ขยายตัว 6% จากงวดเดียวกันของปีก่อนตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะดีขึ้น โบรกฯคาด GDP ปี 2565 จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.825% จากปี 2564 ที่ 2.25%
ส่วน 2) NPL ปรับตัวลงเป็น 3.30% จากลูกหนี้ที่ให้ความช่วยเหลือทั้งลูกหนี้กลุ่มท่องเที่ยวและรถแท็กซี่ที่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้เป็นปกติ และ3) อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (Cost to income) ลดลงเป็น 16.60% ตามขาดทุนรถยึดที่น้อยลง ทั้งนี้ประเมินว่าบริษัทฯมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สามารถรองรับการปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้นจาก D/E ที่ 3.2 เท่า (ต่ำกว่าเงื่อนไขของการกู้ยืมเงิน (loan covenant) ที่อยู่ที่ 6.0 เท่า)
อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 6.00 บาท อิงปี 2565 PBV ที่ 2.5 จากเดิมราคาเป้าหมายที่ 4.90 บาท อิงปี 2564 PBV 2.2 เท่า โดยเป็นผลจากการ rollover ไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2565 และ rerate PBV ขึ้นเพื่อสะท้อนแนวโน้มสินเชื่อที่จะเริ่มกลับมาดีขึ้นตามการลงทุนของภาครัฐที่สูงขึ้นทั้งจากการทยอยเปิดประมูลโครงการก่อสร้างต่างๆ และการขนส่ง logistic ทีเพิ่มขึ้นสูงตามการขยายตัวของ e-Commerce รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจที่กลับมาขยายตัวอย่างต่อเนื่องหนุนให้เกิดความต้องการรถบรรทุกที่สูงขึ้น