“ทิสโก้” ชี้ตลาดหุ้น H2 ปรับขึ้นจำกัด แนะจัดพอร์ตเน้นหุ้น Defensives เทคโนโลยี-เฮลธ์แคร์
“ทิสโก้” ชี้ตลาดหุ้น H2/64 ปรับขึ้นจำกัด แนะจัดพอร์ตเน้นหุ้น Defensives “เทคโนโลยี-เฮลธ์แคร์” เพื่อลดความเสี่ยงการลงทุน
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอลงและปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จึงประเมินว่าตลาดหุ้นในช่วงครึ่งหลังมีโอกาสปรับขึ้น (Upside) ค่อนข้างจำกัด และผันผวนมากขึ้นรวมถึงสร้างผลตอบแทนที่ลดลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก
ดังนั้น จึงแนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตโดยเน้น หุ้นกลุ่ม Defensives เช่น Technology และ Healthcare เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน โดยแนะนำให้เข้าซื้อเมื่อหุ้นทั้งสองกลุ่มปรับลดลงรับข่าวการนำเสนอแผนขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ต่อรัฐสภา ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน ก.ค.นี้
ทั้งนี้ มุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าเศรษฐกิจโลกเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายของการขยายตัว (Late Recovery) เพราะในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจทั่วโลกได้รับการกระตุ้นจากนโยบายภาครัฐ และธนาคารกลางต่างๆ เพื่อพยุงให้รอดพ้นจากภาวะโควิด 19 แพร่ระบาด แต่หลังจากที่หลายประเทศทยอยฉีดวัคซีนให้กับประชาชนจนเริ่มเปิดประเทศแล้ว นโยบายต่างๆ ของภาครัฐฯ ก็เริ่มหมดลง เช่น สหรัฐฯ ได้ยกเลิกมาตรการควบคุมการระบาดครบเกือบทุกรัฐแล้ว และทยอยสิ้นสุดโครงการสวัสดิการว่างงานพิเศษ ขณะเดียวกัน ตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาก็ไม่ได้ออกมาดีกว่าคาดเหมือนช่วงต้นปี
นอกจากนี้ นโยบายการเงินก็มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้นอย่างชัดเจน โดยผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา ระบุว่าคณะกรรมการได้เริ่มหารือถึงแผนการลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE Taper) และคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plots) ก็ถูกปรับขึ้นจากการประชุมครั้งก่อน โดยคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยสองครั้ง และอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมาอยู่ที่ 0.5-0.75% ภายในสิ้นปี 2566 จากเดิมที่หลายฝ่ายประเมินว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยในระดับ 0.25-0.75% ไปจนถึงสิ้นปี 2566
ดังนั้น ในช่วงครึ่งหลังของปี นักลงทุนในตลาดหุ้นจะมุ่งความสนใจไปยังประเด็นการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ชะลอลง และนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นผันผวนและสร้างผลตอบแทนที่ลดลง อีกทั้ง นโยบายการเงินของเฟดที่เข้มงวดส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าขึ้น เป็นปัจจัยลบต่อสินทรัพย์เสี่ยง เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงกระทบต่อหุ้นกลุ่มวัฏจักรที่เคยสร้างผลตอบแทนอย่างโดดเด่นมาตั้งแต่ปลายปีก่อน
ในขณะที่หุ้นกลุ่มปลอดภัยหรือหุ้นกลุ่มเชิงรับ (Defensives) เช่น กลุ่มเทคโนโลยี (Technology) และ เฮลธ์แคร์ (Healthcare) ดูมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณามูลค่า (Valuation) ที่ค่อนข้างถูก เช่น อัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นล่วงหน้า (Forward P/E) ของกลุ่ม Healthcare ที่เทรดต่ำกว่าดัชนี S&P 500 อยู่ถึง 20%
“หากเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงกลางปี 2566 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นของสหรัฐฯ ก็จะเริ่มปรับตัวขึ้นตั้งแต่กลางปีนี้ ขณะที่ผลตอบแทนระยะยาวก็มีโอกาสปรับขึ้นได้อย่างจำกัดตามสถานการณ์อัตราเงินเฟ้อและแนวโน้มเศรษฐกิจ ประเด็นข้างต้นจะส่งผลให้ส่วนต่างของพันธบัตร (Yield Curve) แบนราบลง ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 2554 พบว่า ทุกครั้งที่ส่วนต่างของพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวเข้ามาใกล้กัน ตลาดหุ้นมักจะผันผวนและให้ผลตอบแทนลดลง ขณะที่หุ้นกลุ่มปลอดภัย (Defensives) เช่น กลุ่มเทคโนโลยี (Technology) และ เฮลธ์แคร์ (Healthcare) จะกลับมาสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นกว่าหุ้นกลุ่มอื่น” นายคมศรกล่าว