CBG วอลุ่มแน่น-บวก 3% นิวไฮรอบ 5 เดือน ลุ้นผลงาน Q2 ฟื้นเด่น
CBG วอลุ่มแน่น-บวก 3% นิวไฮรอบ 5 เดือน ลุ้นผลงาน Q2 ฟื้นเด่น รับคำสั่งซื้อเพิ่มจากเร่งสต็อกสินค้าใน CLMV เคาะเป้า 157 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(6 ก.ค.64) ราคาหุ้นบริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ณ เวลา 11.00 น. อยู่ที่ระดับ 148.50 บาท บวก 5.00 บาท หรือ 3.48% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 876.71 ล้านบาท ราคาหุ้นนิวไฮรอบ 5 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 149.00 บาท เมื่อวันที่ 27 ม.ค.64
บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ”ซื้อ”หุ้น CBG ราคาเป้าหมาย 157 บาท คาดผลประกอบการไตรมาส 2/64 ฟื้นตัว เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นจากการเร่งสต็อกสินค้าในตลาด CLMV, ยอดขายประเทศจีนที่เติบโตโดดเด่นระดับ triple digit growth, ผลิตภัณฑ์ใหม่ (Woody C+ Lock Vitamin C Drink Mixed Berry) และรายได้จากการจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2 ตัวใหม่
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET เปิดเผยว่า เข้าสู่ช่วงการรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2/2564 ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจในช่วงนี้จึงควรเน้นหุ้นที่คาดแนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่ง โดยได้คัดกรองหุ้นออกมาเป็น 3 กลุ่มที่น่าสนใจ ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
1.ดีแล้วดีต่อ คือ เน้นหุ้นที่คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/2564 จะขยายตัวเด่น และคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีจะดีขึ้นต่อเนื่อง โดยบางบริษัทอาจจะมีลุ้นทำจุดสูงสุดใหม่ได้เช่นกัน สำหรับหุ้นที่น่าสนใจ เช่น บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP, บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG, บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP,
บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG, บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA, บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) JMART, บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT, บริษัท เค. ดับบลิว. เม็ททัล เวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ KWM, บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF, บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIS และบริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT
2.ลุ้น All Time High โดยคัดกรองหุ้นที่คาดกำไรไตรมาส 2/2564 มีโอกาสทำจุดสูงสุดใหม่ และแนวโน้มช่วงครึ่งหลังของปียังมีผลประกอบการอยู่ในเกณฑ์ดี เช่น บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ASK, บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH, บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG, บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME, บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI,
บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER, บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER, บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด (มหาชน) หรือ SONIC, บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI, บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE และบริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ZIGA
3.แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ค้นหาหุ้นที่ในช่วงครึ่งปีแรกอาจจะอ่อนแอกว่าตลาด แต่คาดจะมีพัฒนาการเชิงบวกที่ดีขึ้นหนุนภาพรวมผลประกอบการจะฟื้นตัวเด่นในช่วงครึ่งหลังของปี เช่น บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM, บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH, บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS, บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN, ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่า อสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท หรือ CPNREIT,
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC, บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M, บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB, บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ STANLY บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA
ทั้งนี้ ได้เลือก 3 หุ้น ได้แก่ ASK, EPG, M เป็นหุ้นเด่นที่น่าทยอยสะสม ด้วยเหตุผลดังนี้ ASK รายได้เติบโตทั้งจากสินเชื่อและยอดขายประกันที่โตแรง คาดกำไรโตนิวไฮเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ทุกไตรมาส, EPG คาดกำไรงวดเดือนเม.ย-มิ.ย. 2564 จะเติบโตดี และคาดกำไรปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ เติบโต 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ M สภาพคล่องมากสุดในกลุ่ม ทนโควิดได้อย่างน้อย 1 ปีเต็ม ๆ รอ Pent-up demand กลับมาหลังฉีดวัคซีน