วิตกเศรษฐกิจจีนชะลอตัวกดดาวโจนส์ปิดร่วง 312 จุด!

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (28 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยว่า ผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีน ร่วงลงอย่างหนักในเดือนส.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์และกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ รวมทั้งถ้อยแถลงของนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) สาขานิวยอร์กที่ระบุว่าเฟดจะยุติการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษก่อนสิ้นปีนี้


สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิด (28 ก.ย.) ที่ 16,001.89 จุด ร่วงลง 312.78 จุด หรือ -1.92%, ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,543.97 จุด ลดลง 142.53 จุด หรือ -3.04% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,881.77 จุด ลดลง 49.57 จุด หรือ -2.57%

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนระบุว่า ตัวเลขกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีน ลดลง 8.8% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งร่วงลงอย่างมากจากเดือนก.ค.ที่ปรับตัวลดลง 2.9%

ขณะเดียวกัน นักลงทุนเริ่มกลับมาวิตกกังวลเกี่ยวกับการส่งสัญญาณเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด โดยล่าสุดเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย นายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์กกล่าวว่า เขาเชื่อว่าเฟดจะยุติการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษก่อนสิ้นปีนี้

“ผมคาดหวังว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไปของปีนี้” เขากล่าว และเสริมว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนต.ค. หรือธ.ค.

คำแถลงครั้งล่าสุดถือเป็นการแสดงความเห็นครั้งแรกของนายดัดลีย์ นับตั้งแต่ที่เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย. และสอดคล้องกับการกล่าวสุนทรพจน์ของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ที่ระบุว่า เฟดมีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ตราบใดที่ภาวะเงินเฟ้อยังคงมีเสถียรภาพ และเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะหนุนการจ้างงาน

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ร่วงลง 1.4% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 109.4 ในเดือนส.ค. จากระดับ 110.9 ในเดือนก.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนีจะเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค.

ข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ย่ำแย่ของสหรัฐได้ฉุดหุ้นกลุ่มธุรกิจสร้างบ้านร่วงลงด้วย โดยหุ้นเคบี โฮม และหุ้นพัลท์กรุ๊ป ต่างก็ร่วงลงกว่า 4.7% หุ้นกลุ่มการเงินดิ่งลงเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำอาจจะส่งผลกระทบต่อกำไรของภาคการเงิน โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา และหุ้นซิตี้กรุ๊ป ต่างก็ต่างลงอย่างน้อย 2.6% หุ้นโกล์แมน แซคส์ ดิ่งลง 3.41% และหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลงราว 3.45%

หุ้นกลุ่มผู้ผลิตวัตถุดิบร่วงลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน โดยหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอร์แรน ดิ่งลง 25% หุ้นดาว เคมิคัลส์ ร่วงลง 2.55% และหุ้นดูปองท์ ร่วงลง 2.52%, หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์และกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพร่วงลงอย่างหนัก และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นร่วงลงด้วย หลังนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสังกัดพรรคเดโมแครทได้ออกมาโจมตีบริษัทเวชภัณฑ์ที่กำหนดราคาสูงเกินไป พร้อมกับให้คำมั่นว่า จะปรับลดต้นทุนราคายา หากเธอได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ทั้งนี้ หุ้นแวเลียนท์ ฟาร์มาซูติคอล อินเตอร์เนชันแนล ดิ่งลง 16.5%

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงราคาบ้านเดือนก.ค.จากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์ ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ ส่วนวันพุธจะมีการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานเดือนก.ย.จาก ADP ขณะที่วันพฤหัสบดีจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.ย. สำหรับวันศุกร์ สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย. และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนส.ค.

Back to top button