XO ขาขึ้นรอบใหม่-บวกแรง 5% จับตาผลงาน Q2 “นิวไฮ” โบรกฯเชียร์ซื้อเป้า 26 บาท

XO ขาขึ้นรอบใหม่-บวกแรง 5% โดย ณ เวลา 11.04 น. อยู่ที่ระดับ 21.70 บาท บวก 1.00 บาท จับตาผลงาน Q2 “นิวไฮ” โบรกฯเชียร์ซื้อเป้า 26 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นวันนี้(29 ก.ค.64) บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO  ณ เวลา 11.04 น. อยู่ที่ระดับ 21.70 บาท บวก 1.00 บาท หรือ 4.83%  ด้วยมูลค่าซื้อขาย 94.09 ล้านบาท

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า XO แนะนำ “เก็งกำไร” คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 138 ล้านบาท (+31.4% จากไตรมาสก่อน, +50% จากปีก่อน) ดูดีกว่าเดิมที่เคยคาดไว้ มาจากคำสั่งซื้อที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง คาดทำ New High ที่ระดับ 435 ล้านบาท แม้จะยังมีปัญหา Container Shortage แต่จนถึงปัจจุบันต้องยอมรับว่าบริษัทมีการ บริหารจัดการได้ดีมาก ทำให้สามารถส่งมอบสินค้าได้ทัน และกระทบรายได้ไม่เกิน 3% ของรายได้รวม ด้วยรายได้ที่สดใส ส่งผลให้มีการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้นเป็น 80% เรียกได้ว่าเต็มกำลังการผลิตแล้ว

ทั้งนี้จึงคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะดีขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 46% ดีขึ้นจาก 45.5% ในไตรมาส 1/64 และ 41.8% ในไตรมาส 2/63 และคาดยังมีการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี สัดส่วน SG&A to Sale น่าจะอยู่ในระดับต่ำที่ 13.5% ใกล้เคียงปี ก่อนที่ 13.6% โดยสรุปคาดไตรมาสนี้จะมีผลการดำเนินงานที่สดใสทำ New High ทั้งรายได้ อัตรากำไรขั้นต้น และกำไรสุทธิ

โดยเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้นเล็กน้อย 6% เป็น 459 ล้านบาท (+44.2% จากปีก่อน) ซึ่งหากกำไรไตรมาส 2/64 เป็นไปตามคาด บริษัทจะมีกำไรสุทธิช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ที่ที่ 243 ล้านบาท (+74.8% จากปีก่อน) จะคิดเป็น 53% ของประมาณการกำไรใหม่ทั้งปี และคาดกำไรปี 2565 จะโตเล็กน้อย 2% จากปีนี้ เป็น 469 ล้านบาท เพราะฐานที่สูงในปีนี้ แม้จะมีรายได้ส่งออกเกือบ 100% แต่บริษัทได้รับผลบวกจากค่าเงินบาทอ่อนค่าจำกัด เพราะส่วนใหญ่ขายในรูปสกุลบาทราว 73% ของรายได้รวม ขณะที่ขายเป็น EUR และ USD อยู่ที่ 20% และ 7% ตามลำดับ ทั้งนี้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2564 ขึ้นเป็น 22 บาท (อิง PE เดิม 20 เท่า)

 

ด้านบล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวเคราะห์ว่า แนะนำ “ซื้อ” XO ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 26.00 บาท จากเดิมที่ 18.00 บาท อิง 2021E PER ใหม่ที่ 23x (เทียบเท่า 5-yr average PER) จากเดิมที่ 18x เทียบเท่า -0.5SD

โดยมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นจากผู้บริหารตั้งเป้าใหม่กำไรปี 2564 โต +30% ถึง +40% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจากเดิมที่ +20% ถึง +25% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, 2) คาดรายได้ไตรมาส 2/2564 โตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2564 จากยอดขายที่อยู่ในมือราว 450 ล้านบาท และสามารถส่งมอบไปแล้ว มากกว่า 200 ล้านบาท, 3) กลยุทธ์การขายใหม่ Listing fee เห็นผลเร็วกว่าที่คาด โดยยอดขายเริ่มเข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 1/2564 จากเดิมที่คาดเห็นไตรมาส 3/2564

ด้านนายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ XO เปิดเผยว่า บริษัทปรับเป้าหมายกำไรสุทธิปี 64 เติบโต 30-40% จากเป้าหมายเดิม 20-25% จากปีก่อนที่ทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 318 ล้านบาท โดยแนวโน้มไตรมาส 2/64 มีทิศทางผลประกอบการเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/64 ที่ผ่านมา และเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากคำสั่งซื้อของลูกค้าเดิมเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้มีคำสั่งซื้อในมือแล้วที่ 450 ล้านบาท

ขณะที่ สัดส่วนตลาดส่งออกปัจจุบันยังคงเน้นไปที่ตลาดยุโรป 80% ตลาดเอเชีย 5-6% ตลาดออสเตรเลียและโอเชียเนีย 5-6% ตลาดสหรัฐอเมริกา 1% และตลาดแอฟริกา 1% โดยตลาดในยุโรปเป็นตลาดที่ใหญ่ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีก ยกตัวอย่างตลาดเยอรมนี ซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งมีสินค้าของบริษัทเพียง 1-2 รายการ จากปกติสามารถมีได้ถึง 15-20 รายการ เพราะฉะนั้นยังมีโอกาสที่จะเติมสินค้าเข้าไปได้อีก

ด้านตลาดที่จีน มีการจ่ายค่าแรกเข้า (Listing fee) เพื่อนำสินค้าเข้าไปวางจำหน่ายในซุปเปอร์ใหญ่ๆ เช่น วอลมาร์ท เป็นต้น ซึ่งในปีนี้มีการวางงบลงทุนจ่ายค่าแรกเข้า (Listing fee) ไว้ที่ 10-15 ล้านบาท ซึ่งเริ่มทำมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ปัจจุบันจ่ายไปแล้วประมาณ 25% เพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายให้กับบริษัท กระตุ้นยอดขายให้เติบโต

อีกทั้งบริษัทยังคงมองการขยายตลาดใหม่เพิ่มอยู่ตลอด ซึ่งปกติจะมีการเดินทางไปงานแสดงสินค้าที่ต่างประเทศ 15-18 งานในทุกปี แม้ปัจจุบันจะไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่หากสถานการณ์คลี่คลาย คาดว่าจะมียอดขายจากงานดังกล่าวเพิ่มเข้ามาในอนาคตอีกด้วย

สำหรับในปีนี้บริษัทยังมุ่งเน้นการผลักดันสินค้ากลุ่มซอส ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 80% ของรายได้ทั้งหมด เป็นสินค้ากลุ่มหลักที่มีกำไรสูงที่สุด โดยล่าสุดมีสินค้าที่ทุกคนติดตามอยู่คือ ซอสศรีราชากัญชง ซึ่งปัจจุบันดำเนินการพัฒนาสินค้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการส่งตัวอย่างให้กับลูกค้า คาดว่าจะสามารถส่งออกได้ภายในปีนี้ และสินค้าอื่น ๆ ก็จะมีทยอยออกมาเรื่อย ๆ

ปัจจุบันบริษัทใช้กำลังการผลิตไป 70% ซึ่งหากคำนวณจากยอดขายในไตรมาส 2/64 ที่ 450 ล้านบาท จะต้องใช้กำลังการผลิตถึง 80% อาจจะต้องเพิ่ม Production Line คาดว่าจะใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท โดยไม่ต้องลงทุนซื้อที่ดินหรืออาคารโรงงานใหม่ เพราะมีพื้นที่เหลืออยู่แล้ว จะลงทุนเพียงแค่ในส่วน Production Line เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ด้านราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไม่ส่งผลกระทบกับทางบริษัท โดยวัตถุดิบสำคัญ 3 ชนิดของบริษัท คือ น้ำตาล พริก และกระเทียม ซึ่งทางบริษัทได้มีการเซ็นสัญญาและกำหนดราคาซื้อขายวัตถุดิบทุกชนิดเป็นที่เรียบร้อยไปจนถึงปลายปี 65 แล้ว

สำหรับทิศทางของเงินบาท มองว่าไม่มีปัญหากับทางบริษัท โดยบริษัทส่งออกในรูปเงินบาท 75% ซึ่งทำให้ไม่มีความเสี่ยงเลย เนื่องจากบริษัทขายยี่ห้อตัวเองเป็นหลัก ทำให้มีอำนาจในการต่อรอง

“โควิด-19 ช่วยให้คนประกอบอาหารที่บ้านมากขึ้น ให้อานิสงส์กับกลุ่มผู้ที่ขายสินค้าเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งสินค้าของทางบริษัท 98% เป็นสินค้าไซส์เล็กที่ขายเข้าซุปเปอร์มารเก็ต ไม่ใช่ที่ร้านอาหาร ทำให้สินค้าของบริษัทมีคนสนใจเพิ่มขึ้น และแม้โควิด-19จบลง ก็ยังคงเป็นผลดีกับบริษัทต่ออยู่ดี เพราะสามารถเดินทางไปงานแสดงสินค้าในต่างประเทศได้ ซึ่งจะทำให้มียอดขายเพิ่มเข้ามาอีกในอนาคต” นายจิตติพร กล่าว

Back to top button